ชื่อโครงการ ผลของการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลระหว่างเวร
ชื่อผู้วิจัย
นางเจียมจิตต์ เฉลิมชุติเดช หัวหน้าหอผู้ป่วยเด็ก 2 โรงพยาบาลพระพุทธบาท
นางสาวนงนารถ โฉมวัฒนา พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ
นางชูวลี เจริญสุข พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ
นางสาวณัฐพัชร์ ทองสีนาค พยาบาลวิชาชีพ ชำนาญการ
นางสาวพรทิพย์ บุญเปลี่ยน ผู้ช่วยเหลือคนไข้
ชื่อหน่วยงาน หอผู้ป่วยเด็ก 2 โรงพยาบาลพระพุทธบาท
ที่มาของปัญหา
จากการปฏิบัติงานที่ผ่านมาเกิดปัญหาการดูแลผู้ป่วยที่คลาดเคลื่อนซึ่งเป็นอุบัติการณ์ความเสี่ยงทางการพยาบาลเกิดขึ้น เช่น การลืมเจาะน้ำตาลในเลือด ในทารกที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ตามเวลาที่แพทย์กำหนด
ลืมตามฟิล์ม X-ray ลืมส่งผู้ป่วยตรวจ ROP ตามนัด ให้ยาผิดเวลาไม่ตรงตามแผนการรักษาของแพทย์ ความคลาดเคลื่อนเหล่านี้อาจเป็นผลให้ผู้ป่วยได้รับอันตรายถึงชีวิต เนื่องจากได้รับการรักษาหรือการดูแลที่ล่าช้า ซึ่งอุบัติการณ์ความเสี่ยงเหล่านี้ เป็นผลมาจากการส่งต่อข้อมูลผู้ป่วยระหว่างเวรไม่มีประสิทธิภาพ ได้แก่ ส่งข้อมูลที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยไม่ครบถ้วน บางครั้งผู้ส่งข้อมูล ซึ่งได้ส่งข้อมูลแล้วแต่ผู้รับเวรไม่มีความพร้อมในการรับฟัง ขาดสมาธิ ไม่มีอุปกรณ์ที่มีประสิทธิภาพในการจดบันทึก ไม่มีระบบการจัดเก็บที่เป็นระเบียบ ข้อมูลที่จดบันทึกสูญหายทำให้ขาดหลักฐานเวลาที่ต้องการใช้อ้างอิง และนอกจากนี้ บางครั้งยังมีเสียงดังรบกวนในขณะรับส่งข้อมูล ซึ่งได้แก่ เสียงร้องของเด็กป่วย เสียงญาติคุยกัน เสียงโทรศัพท์ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยทำให้การรับส่งเวรไม่มีประสิทธิภาพ เป็นผลให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลที่ถูกต้องทันเวลา
กลุ่มเด็กสร้างสรรค์ตระหนักถึงความสำคัญของปัญหานี้ จึงมีความต้องการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลผู้ป่วยระหว่างเวรให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
วัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาผลของการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลผู้ป่วยระหว่างเวร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วย
1. เพื่อลดอุบัติการณ์ความผิดพลาดในขั้นตอนการดูแลผู้ป่วยเนื่องจากการรับส่งข้อมูลระหว่างเวรไม่มีประสิทธิภาพ
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจจากการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลระหว่างเวร ของพยาบาลประจำการ
ระเบียบวิธีวิจัย ใช้ระเบียบวิธีวิจัย Research and Development มีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
วิเคราะห์สาเหตุ
สาเหตุของปัญหาในการรับส่งข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพ สามารถวิเคราะห์โดยใช้ แผนภูมิก้างปลา
( Fishbone Diagram) ดังนี้
วิธีการพัฒนา
ผู้วิจัยได้พัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลผู้ป่วยระหว่างเวรให้เป็นมาตรฐาน ทั้งในด้านบุคลากร ด้านข้อมูลในการสื่อสาร ด้านอุปกรณ์ในการจดบันทึก และด้านการจัดสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีขั้นตอนการดำเนินงานดังนี้
หลังจากดำเนินการรับส่งข้อมูลระหว่างเวรตามการพัฒนาระยะที่ 1 เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่
1 พฤษภาคม 2553 – 30 กรกฎาคม 2553 ตามแนวทางข้างต้น ประเมินผลโดยประเมินคุณภาพการบันทึกการรับส่งข้อมูลระหว่างเวร ซึ่งประเมินโดยหัวหน้าหอผู้ป่วย ประเมินผลความพึงพอใจต่อการใช้ระบบการรับส่งข้อมูลระหว่างเวร ซึ่งประเมินโดยพยาบาลประจำการจำนวน 14 คน และจากการเก็บอุบัติการณ์ความเสี่ยงที่เกิดจากการรับส่งข้อมูลไม่มีประสิทธิภาพ จากนั้นกลุ่มเด็กสร้างสรรค์ได้รวบรวมผลการประเมินเข้าที่ประชุมประจำเดือน เพื่อขอข้อเสนอแนะจากเจ้าหน้าที่ทุกคนในการปรับปรุงวิธีการปฏิบัติและพัฒนาเป็นระบบการรับส่งข้อมูลระหว่างเวรระยะที่ 2 ได้ดังนี้
1. ทำความเข้าใจการใช้แบบบันทึกการรับส่งข้อมูลระหว่างเวรแก่พยาบาลประจำการซ้ำอีกครั้ง
2. เพิ่มระบบการตรวจติดตามการใช้และการจัดเก็บแบบบันทึกการรับส่งข้อมูล ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
2.1 การประเมินผลการใช้แบบบันทึกการรับส่งข้อมูลระหว่างเวรเป็นระยะทุก 1,3 และ 6 เดือน
2.2 การจัดเก็บ มีการจัดวางอย่างเป็นระเบียบในกล่องเก็บใกล้โต๊ะรับเวร
2.3 รูปแบบการจัดทำแบบบันทึก ให้ทำเป็นเล่ม ระบุชื่อเจ้าหน้าที่ประจำเล่ม
3. จัดสถานที่การรับส่งเวรใหม่ โดยให้ห่างจากความพลุกพล่านของผู้ป่วยและญาติ
4. การใช้คำย่อ ไม่ใช้คำย่อที่ไม่เป็นสากล
5. กำหนดให้ Leader ทีมที่ส่งเวร เป็นผู้ดูแลผู้ป่วยขณะรับ – ส่งเวร และ
กำหนดให้ Aid ทีมที่ส่งเวร เป็นผู้ดูแลต้อนรับญาติและช่วยแก้ไขสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงการรบกวนอื่น ๆ
กลุ่มตัวอย่าง เจ้าหน้าที่ประจำหอผู้ป่วย ตึกเด็ก 2 โรงพยาบาลพระพุทธบาท จำนวน 14 คน
สถานที่ ตึกเด็ก 2 โรงพยาบาลพระพุทธบาท
ช่วงเวลา 1 พ.ค. 53 - 31 ต.ค. 53
การวิเคราะห์ข้อมูล ความถี่และค่าเฉลี่ย
ผลการศึกษา
การนำผลการวิจัยไปใช้ประโยชน์ในงานประจำ ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงาน
จากผลการวิจัย ผู้วิจัยได้นำผลการวิจัยมาใช้ประโยชน์ในงานประจำ โดยกำหนดเป็นมาตรฐานในการรับส่งข้อมูลผู้ป่วยระหว่างผู้ปฏิบัติงานในการเปลี่ยนเวร ( Communication During Patient care Handovers ) เพื่อส่งมอบข้อมูลผู้ป่วยอย่างมีประสิทธิภาพลดการเกิดอุบัติการณ์ความเสี่ยงทางการพยาบาล ได้ดังนี้
ด้านบุคลากร
1. กำหนดให้ 1 ชั่วโมง ก่อนส่งเวร Incharge ต้องติดตามงานและแก้ไขประเด็นปัญหาต่างๆ และก่อนส่งเวร 30 นาที จัดให้มี Post Conference กับทีมเพื่อประเมินผลการปฏิบัติงานและเป็นการรวบรวมข้อมูล
ก่อนส่งเวร
2. เจ้าหน้าที่ทุกคนมารับเวรตรงเวลาดังนี้ เวรเช้าเวลา 08.00 น. เวรบ่ายเวลา 16.00 น.เวรดึกเวลา 24.00 น. ถ้ามีเหตุจำเป็นไม่สามารถมาตามเวลาได้ ให้แจ้งก่อน 15 นาที ถ้าไม่ปฏิบัติตามจำนวน 2 ครั้งถูกตักเตือนโดยหัวหน้าหอผู้ป่วย และถ้าเกิน 5 ครั้ง มีผลต่อการพิจารณาความดีความชอบในรอบ 6 เดือน
3. ขณะรับ – ส่งเวร งดปฏิบัติกิจกรรมอื่น เช่น คุยโทรศัพท์ ดื่มกาแฟ พูดคุยกับบุคคลอื่น เป็นต้น
4. เจ้าหน้าที่ก่อนมาปฏิบัติงานควรพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้มีสภาพร่างกายและจิตใจ สมบูรณ์ พร้อมปฏิบัติงาน และทำสมาธิก่อนรับเวรโดยหลับตานาน 10 วินาทีพร้อมกัน
5. กำหนดให้มีการ pre – conference ก่อนปฏิบัติงานทุกเวร เพื่อทบทวนข้อมูลที่ได้รับ และสื่อสารให้ตรงกันในทีมการพยาบาล
ด้านข้อมูลที่ต้องสื่อสาร
1.ใช้หลัก SBAR
S = Situation ได้แก่ หมายเลขเตียง ชี่อ – สกุลผู้ป่วย สถานการณ์ผู้ป่วย และเวลาที่เกิดปัญหา
B = Background ได้แก่ ข้อมูลภูมิหลังเกี่ยวกับสถานการณ์ Diagnosis บัญชีรายการยา สารน้ำที่ได้รับ การแพ้ยา ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
A = Assessment การประเมินอาการ และปัญหาที่สำคัญของผู้ป่วย
R = Recommendation ข้อแนะนำในการดูแลต่อเนื่องในเวรต่อไป
2.จัดสรรเวลาให้เพียงพอ สำหรับสื่อสารข้อมูลสำคัญ และการถามตอบในประเด็นสงสัย โดยไม่มีการขัดจังหวะ
3. มีการทวนซ้ำ ( repeat back ) และอ่านซ้ำ ( read back ) ในข้อมูลที่สำคัญ
ด้านอุปกรณ์
1. รับเวรโดยใช้สมุดรับเวรตามมาตรฐานที่ได้จัดทำไว้ โดยจัดทำสมุดรับเวรเป็นรายบุคคลซึ่งมีรายละเอียดดังนี้ หมายเลขเตียง ชื่อผู้ป่วย อาการและอาการแสดง กิจกรรมที่ต้องปฏิบัติต่อเนื่องในเวร และการประเมินผลโดยใช้สัญลักษณ์ ü ดำเนินการเรียบร้อยแล้ว û ไม่สามารถดำเนินการได้ ให้ระบุเหตุผลคร่าว ๆ ด้วย
2. เก็บสมุดรับเวรในกล่องที่จัดไว้ให้ เพื่อสะดวกในการหยิบใช้งานและง่ายต่อการตรวจสอบ
ด้านสิ่งแวดล้อม
1. รับ-ส่งเวรในบริเวณที่จัดไว้ให้ ซึ่งเป็นสถานที่ไม่มีคนพลุกพล่าน
2. ปิดประตูห้อง PICU และ NICU ในขณะรับส่งเวร
3. มอบหมายให้ Leader ในทีมผู้ส่งเวรเป็นผู้ดูแลผู้ป่วยและมอบหมายให้ Aid ดูแลความเรียบร้อยและ
ช่วยแก้ไขสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงการรบกวนอื่น ๆ
ช่วยแก้ไขสิ่งที่ทำให้เกิดเสียงการรบกวนอื่น ๆ
4. เจ้าหน้าที่ที่ไม่มีส่วนร่วมในการรับ-ส่งเวร งดใช้เสียง และงดใช้อุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียงรบกวน เช่น Printer โทรศัพท์ เป็นต้น
บทเรียนที่ได้รับ
การทำงานประจำให้เป็นงานวิจัย (R2R) ไม่ใช่สิ่งที่ยาก และทำให้บุคลากรมีแนวทางในการพัฒนางานประจำได้อย่างต่อเนื่อง บุคลากรทางการพยาบาลเป็นบุคคลสำคัญในการจัดการความเสี่ยง (Risk management) เพราะเป็นผู้ดูแลใกล้ชิดผู้ป่วยมากที่สุดตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้ทราบปัญหาและความเสี่ยงของผู้ป่วยที่อยู่ในความดูแลได้รวดเร็ว ดังนั้นผลการพัฒนาระบบการรับส่งข้อมูลระหว่างเวร จึงเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการดูแลผู้ป่วยเพื่อให้เกิด Patient Safety goal ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างต่อเนื่องและทันเวลา
ปัจจัยแห่งความสำเร็จ
การทำงานร่วมกันเป็นทีม การเปิดใจยอมรับ เพื่อปรับเปลี่ยนการทำงานของทีมบุคลากรในหน่วยงานหอผู้ป่วยเด็ก 2 ทำให้มีการพัฒนางานอย่างต่อเนื่องเป็นระบบและประสบความสำเร็จ นอกจากนี้การสนับสนุนของผู้บริหารในการให้โอกาสพัฒนาการปฏิบัติงาน การนิเทศงานอย่างสม่ำเสมอทำให้บุคลากรมีความกระตือรือร้นในการพัฒนางาน โดยยึดหลักผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง ทำให้มีวัฒนธรรมความปลอดภัยในหน่วยงาน เป็นปัจจัยแห่งความสำเร็จที่สำคัญเช่นกัน
มีประโยชน์มากคะ
ตอบลบ