วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำด้วยใจ หายเหนื่อย ...


ขึ้นเวรดึกวันนี้ รู้สึกเหนื่อยล้า ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน  บอกกับตัวเองทุกวัน สิ่งที่ทำคือ หน้าที่  หน้าที่ และหน้าที่ แต่ก็ยังไม่เห็นหายเหนื่อยรับเวรเสร็จ เดินดูคนไข้  ตั้งแต่เตียง 1 จนมาถึงห้องแยก 1 เป็น Case คนไข้ผู้ชายสูงอายุวาระสุดท้ายซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจและอัมพาต ไม่รู้สึกตัวนอนอยู่บนเตียงที่มีเครื่องพันธนาการยื้อและยืดชีวิตมากมาย  มียาเพิ่มความดันโลหิตให้ไว้ปริมาณขนาดสูงสุด มาถูกทางแล้ว เป็นคำพูดของคุณหมอที่เราคุ้นหู    เงยหน้ามองไปที่ Monitor EKG  หัวใจของคนไข้คงล้าเต็มที แม้จะมียาขนานเอกพอที่จะยืดเวลาออกไปได้อีก  ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมา  ภาพที่พ่อเคยนอนอยู่บนเตียง ไม่แตกต่างจากคนไข้รายนี้    สุดท้ายคนเราทุกคนก็ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ  ไม่สามารถที่จะฝืนธรรมชาติ   เข้ามาในห้องนี้ทีไร แล้วต้องเจอคนไข้วาระสุดท้าย รู้สึกหดหู่ชอบกล  ยิ่งตอนญาติร้องไห้ ใจคอไม่ดี  พาลจะร้องไห้ตามญาติไปอีกคน     คิดในใจ ตาคงไม่เสียวันนี้หรอกมั้ง

ฉันถอนหายใจแล้วพยายามสลัดความคิดเก่าๆ ออกไป เดินเข้าไปยืนข้างเตียงจับมือคนไข้ เรียก ตา เป็นอย่างไรบ้าง...เหนื่อยไหม อดทนหน่อยนะ กำหนดลมหายใจเข้าออก พระอยู่ในใจนะตา นึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  คุณงามความดี ที่เคยได้ทำ จะได้เป็นแสงสว่างนำทางไปในภพชาติที่ดี  

       เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมง มองดูนาฬิกา 04.40 น.  หลังทำกิจกรรมอื่นๆเสร็จ ลุกไปดูคนไข้อีกรอบ  ประเมินสัญญาณชีพ หัวใจเต้นช้าลงกว่าเดิม ความดันโลหิตวัดไม่ได้ ติดต่อประชาสัมพันธ์ให้ติดต่อญาติทางโทรศัพท์ ไม่นานเสียงโทรศัพท์สายนอกดังขึ้น

ฉันรีบรับโทรศัพท์ สวัสดีค่ะICU 1 ค่ะ
เสียงประชาสัมพันธ์งัวเงียเล็กน้อย ติดต่อญาติได้แล้วค่ะ 
หลังจากประชาสัมพันธ์วางสายลง ได้ยินเสียงจากปลายสาย พูดเสียงเครือว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้วเหรอคะ
ฉันจึงตอบว่า ยังค่ะ โทรแจ้งญาติว่าตอนนี้ตาหัวใจเต้นช้าลง  ความดันโลหิตวัดไม่ได้  มีโอกาสเสียชีวิต  ญาติต้องการมาเยี่ยมตาหรือเปล่าค่ะ
เสียงญาติรีบตอบกลับมา พยาบาลให้เข้าเยี่ยมได้จริงเหรอคะ
ฉันตอบกลับไปว่า ได้ค่ะ
จากน้ำเสียงของญาติแสดงออกถึงความรู้สึกดีใจ ค่ะๆ แล้วจะรีบมา

เพียงไม่ถึง 20 นาที เสียงกดกริ่งหน้าตึกก็ดังขึ้น ฉันเดินไปเปิดกระจกพบญาติประมาณ 3 คน  สิ่งที่สังเกตเห็น คือผู้หญิงวัยสูงอายุกับผู้หญิงวัยกลางคน  2 คนยืนประคองกันอยู่  ผู้หญิงสูงอายุท่าทางไม่ค่อยแข็งแรง  ตา 2 ข้าง ดูแดงช้ำ เหมือนพึ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก    
เมื่อญาติถึงเตียงคนไข้  ญาติถึงกลับปล่อยโฮ กอดคนไข้แน่นและพูดว่า   คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ดูใจคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายแล้วและร้องไห้กันเสียงระงมทั่วห้อง   ฉันเปิดโอกาสให้ญาติและคนไข้ได้อยู่กันตามลำพัง ปิดม่านให้ เสียง Monitor EKG alarm  เป็นช่วงๆ ดู wave  ห่างขึ้นเรื่อย คิดในใจตาคงจะรอญาติ
สักครู่ใหญ่ฉันเดินกลับเข้าไปในห้องคนไข้ แจ้งอาการกับญาติ ตอนนี้หัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ  ความดันโลหิตวัดไม่ได้
ญาติพยักหน้ารับทราบ คราวนี้สีหน้าดู สดชื่นขึ้น แม้ยังมีคราบน้ำตาทั่วใบหน้า  ลูกสาวของตาเดินมาหาและจับมือเราแน่น ขอบคุณพยาบาลมากนะคะ พี่คิดว่าพี่คงไม่มีโอกาสได้กอดคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
พูดยังไม่ทันจบ น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม  2 ข้าง กอดเราแน่น และพูดซ้ำ  ๆ ขอบคุณจริง ๆ เราเข้าใจว่าญาติจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาดูใจในวาระสุดท้าย   คงจะได้รับโทรศัพท์แจ้งตอนเสียชีวิตครั้งเดียว  ตายตอนไหนก็ไม่รู้ กลับถึงบ้านร้องไห้ทุกวัน พี่ทำใจไม่ได้สงสารคุณพ่อ

        ฉันจึงชี้แจงว่าปกติ ถ้าคนไข้อาการไม่ดี  เราจะให้ญาติเข้ามาเยี่ยมได้  หรือแนะนำให้โทรศัพท์ถามอาการ   ถ้าคนไข้มีอาการเปลี่ยนแปลงพยาบาลจะโทรศัพท์แจ้งเป็นระยะๆ
         ลูกสาวคนไข้ค่อย ๆผละออกจากฉันพยักหน้ารับและพูดว่า แต่...ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย  พี่ไม่รู้จะพูดคำว่าอะไร...
          ญาติเดินกลับมาเตียงคนไข้  กระซิบข้างหูเบาๆและบอกว่า  ไม่ต้องห่วงนะคุณพ่อ  ลูกจะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด  คุณพ่อไปดีนะ  หลับให้สบาย  ไม่ต้องกังวล
ยังไม่ทันขาดคำ  คลื่นหัวใจก็ลากเป็น Wave ยาว ฉันบอกญาติว่า คนไข้เสียชีวิตแล้วนะคะ
ญาติพากันก้มกราบเท้าคนไข้  ได้ยินเสียงร้องไห้เบา ๆ  ฉันแสดงความเสียใจและนำญาติยืนไว้อาลัยประมาณ 1 นาที  
         ญาติยิ้มทั้งน้ำตา ไม่มีใครร้องให้ฟูมฟาย
ฉันเดินออกมาด้านนอกม่าน  มองดูนาฬิกาจะ 6 โมงเช้าแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่า ความรู้สึกเหนื่อยล้าของฉันที่เกิดขึ้นก่อนขึ้นเวรดึก  มันหายไปไม่รู้ตัว กลับกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ มีความสุข งานที่คิดว่าเป็นหน้าที่ แต่เมื่อมันอยู่ตรงหน้า ถ้าเราทำด้วยใจ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความอิ่มอกอิ่มใจ  หายเหนื่อย...

บันทึกเรื่องราวและประสบการณ์โดย 
 พัชรีรัตน์  เปลี่ยนสะอาด  หอผู้ป่วยหนัก
บรรณาธิการเรื่องเล่า โดย : กาญจนา สรรพคุณ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น