เมนูอาหารสำหรับผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง
ระยะที่ 3 - 5
1. ที่มาและความสำคัญ
สถานการณ์ในปัจจุบันมีประชากรที่ป่วยเป็นโรคเรื้อรังทั้งประเทศมากถึง แปดล้านคนหรือร้อยละ
17.5 ของประชากร
และมีแนวโน้มป่วยเพิ่มขึ้น ปีละ 7,800 คน อีกครึ่งหนึ่งเป็นผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะปานกลางถึงรุนแรง และจากการศึกษารวบรวมข้อมูลของกระทรวงสาธารณสุข พบว่าในระยะ 10 ปี ประชากรมีแนวโน้มเป็นโรคไตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ สาเหตุใหญ่ที่สุดร้อยละ 60 เกิดจากโรคเบาหวานและความดันโลหิตสูง เป็นสาเหตุภาวะของไตเสื่อมตามมาภายหลัง
และโรคไตจากเบาหวาน เป็นสาเหตุอันดับหนึ่งของผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะสุดท้าย คือพบประมาณร้อยละ 30.1 ของผู้ป่วยที่ได้บำบัดทดแทนไตในประเทศไทย
จากสถิติการคัดกรองผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังในผู้ป่วยเบาหวานและความดันโลหิตสูง ของโรงพยาบาลพระพุทธบาท
และในเขตพื้นที่รับผิดชอบ ในปี 2557 พบผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่ 3 จำนวน 638 ราย
ระยะที่ 4 จำนวน 317 ราย ระยะที่ 5 จำนวน 171 ราย เป็นผู้ป่วยที่ยังไม่ได้รับการบำบัดทดแทนไต ซึ่งระยะนี้การดูแลรักษาผู้ป่วยนับว่ามีความสำคัญมาก โดยเฉพาะเรื่องอาหาร และพฤติกรรมในการรับประทานอาหาร
2. วัตถุประสงค์
1. เพื่อชะลอความเสื่อมของไตให้คงหน้าที่การทำงานให้นานที่สุด
2. เพื่อให้ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังเกิดความรู้
ความเข้าใจ และตระหนักถึงความสำคัญในการรับประทานอาหาร
3. วิธีการดำเนินงาน
ระยะเวลาในการดำเนินงาน ได้ทำการเก็บข้อมูลในช่วง ต.ค 56 – ก.ย 57 และในช่วง ต.ค 57 – ก.ย 58
โดยทำการเก็บข้อมูลผู้ป่วยไตเรื้อรังระยะที่ 3-5 ในคลินิกโรคไตเรื้อรัง
1. ใช้ประเมินการรับประทานอาหารอย่างง่ายสำหรับประเมินปัญหาผู้ป่วยโรคไต เกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่บ้าน
2. ให้ความรู้การดัดแปลงอาหารโดยใช้เอกสารคู่มือการดัดแปลงอาหาร โดยจำกัดโปรตีน โซเดียม และคำนวณพลังงานที่เหมาะสม เป็นรายบุคคล
3. ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสม สำหรับผู้ป่วยแต่ละราย
4. ติดตามประเมินผลจากการนัดครั้งต่อไป
4. ตัวชี้วัด
1. อัตราผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังระยะที่
3-5 ที่ได้รับการดัดแปลงอาหารมี decline GFR < 4 ml/min/1.73 m2/yr มากกว่าร้อยละ 80
2.
อัตราผู้ป่วยที่สามารถควบคุมระดับโปแตสเซี่ยมในเลือดได้น้อยกว่า 5 mEq/L ในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะโปแตสเซี่ยมในเลือดสูงมากกว่าร้อยละ
80
5. ผลการดำเนินงาน
1. ในปี 2557
มีผู้ป่วยที่ได้รับการให้ความรู้การดัดแปลงอาหาร ทั้งหมด
66 ราย อัตราผู้ป่วยที่มี decline GFR
< 4 ml/min/1.73 m2/yr เท่ากับร้อยละ 74.24 ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะโปแตสเซี่ยม
ในเลือดสูงสามารถควบคุมระดับโปแตสเซี่ยมในเลือดได้น้อยกว่า 5 mEq/L ร้อยละ 70
ในเลือดสูงสามารถควบคุมระดับโปแตสเซี่ยมในเลือดได้น้อยกว่า 5 mEq/L ร้อยละ 70
2. ในปี 2558
มีผู้ป่วยที่ได้รับการให้ความรู้การดัดแปลงอาหาร ทั้งหมด
92 ราย อัตราผู้ป่วยที่มี decline GFR
< 4 ml/min/1.73 m2/yr เท่ากับร้อยละ 88.04 ส่วนในกลุ่มผู้ป่วยที่มีภาวะโปแตสเซี่ยมในเลือดสูงสามารถควบคุมระดับโปแตสเซี่ยมในเลือดได้น้อยกว่า
5 mEq/L ร้อยละ 83
6.
การนำไปใช้ในงานประจำ
นำการประเมินและดัดแปลงอาหารด้วยแบบประเมินอย่างง่ายไปประยุกต์ใช้ให้ครอบคลุมกลุ่มผู้ป่วย
โรคไตเรื้อรังในโรงพยาบาล ในรพ.สต ในพื้นที่รับผิดชอบ และในรพช.เครือข่าย
โรคไตเรื้อรังในโรงพยาบาล ในรพ.สต ในพื้นที่รับผิดชอบ และในรพช.เครือข่าย
7.
ปัญหาและอุปสรรค
1.
ไม่สามารถติดตามประเมินผลผู้ป่วยได้ครบทุกราย
2. ไม่สามารถประเมินปัญหาอื่นๆ
ของผู้ป่วยได้ครบถ้วนเนื่องจากขาดผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการ
3.
ภาระงานของนักโภชนาการไม่สามารถให้บริการผู้ป่วยได้ทุกวัน
8.
แนวทางการพัฒนา
1. พัฒนาระบบการติดตามประเมินผลให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
2. จัดประชุมกลุ่มผู้ป่วย แลกเปลี่ยนเรียนรู้
ผู้รับผิดชอบโครงการ กลุ่มงานโภชนาการ รพ.พระพุทธบาท
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น