วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

จุกนิรภัย



ชื่อผลงานนวัตกรรม       จุกนิรภัย
ชื่อผู้เสนอผลงาน           หอผู้ป่วยพิเศษชั้น 3
ชื่อ/ที่อยู่ของหน่วยงาน    หอผู้ป่วยพิเศษชั้น 1 - 3/อาคาร 100 ปีสมเด็จพระศรีนครินทร์
ความเป็นมา
          การติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจากการคาสายสวนปัสสาวะ (catheter associated urinary tract
infection; CAUTI) นั้นเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยต้องนอนโรงพยาบาลนานขึ้น เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาเพิ่ม
มากขึ้นและอาจทำให้เกิดการติดเชื้อในกระแสเลือดได้ สถิติผู้ป่วยของหอผู้ป่วยพิเศษปี 2556 มีผู้ป่วยได้รับการใส่สายสวนปัสสาวะเฉลี่ย 5.22 ราย/วัน  และมีอัตราการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะเท่ากับ 0.5ครั้ง/1000วันอุปกรณ์  และเมื่อวิเคราะห์สาเหตุของการติดเชื้อจากการใส่สายสวนปัสสาวะ สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือปลายท่อถุงปัสสาวะสัมผัสพื้นจากการแขวนถุง/การปรับระดับเตียงต่ำหรือ ถุงปัสสาวะถูกวางบนพื้น (ตามมาตรฐานควรต้องแขวนสายสวนปัสสาวะสูงจากพื้นประมาณ 15 ซม.)  รวมถึงการที่ถุงปัสสาวะปิดไม่สนิทมีปัสสาวะหยดลงพื้นทำให้ระบบปัสสาวะไม่เป็น closed  system  บุคลากรในหน่วยงานได้เล็งเห็นความสำคัญดังกล่าว จึงได้ร่วมกันคิดเพื่อวางแผนแก้ไข และมองเห็นว่าหัวจุกที่ปิดข้อต่อสายสวนปัสสาวะ สามารถนำมาปิดปลายถุงปัสสาวะได้  จึงดำเนินการจัดทำนวตกรรม “จุกนิรภัย”ขึ้นมา   เพื่อให้พยาบาลสามารถปฏิบัติได้โดยง่าย  เพื่อเพิ่มคุณภาพการดูแลผู้ป่วยที่ใส่สายสวนปัสสาวะให้ปราศจากการติดเชื้อ และลดจำนวนวันนอนโรงพยาบาล

วัตถุประสงค์
          1. เพื่อลดการติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะจากการคาสายสวนปัสสาวะ
          2. เพื่อลดการเกิดกลิ่นเหม็นภายในห้องพักผู้ป่วย

ขั้นตอนการดำเนินงาน  
1.      ศึกษาสภาพปัจจุบัน  ระหว่างวันที่ (1 - 7  กันยายน 2557)
หอผู้ป่วย
จำนวนผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ (ราย)
จำนวนครั้งที่แขวนสายสวนปัสสาวะต่ำกว่า 15 ซม.(ครั้ง)
จำนวนครั้งถุงปัสสาวะปิดไม่สนิท(ครั้ง)
พิเศษ 1
26
20
26
พิเศษ 2
9
7
9
พิเศษ 3
3
2
3
รวม
119
29
119

2.      เป้าหมาย
2.1.   ลดจำนวนครั้งการแขวนถุงปัสสาวะต่ำกว่า  15  ซม.
2.2.   ลดจำนวนครั้งถุงปัสสาวะปิดไม่สนิท  ทำให้น้ำปัสสาวะหกลงบนพื้น

3.      วิธีดำเนินการ
3.1 ทบทวนมาตรฐานการแขวนถุงปัสสาวะ จากการศึกษาเอกสาร /ตำรา /งานวิจัย พบว่า การแขวนถุงปัสสาวะควรแขวนให้สูงจากพื้นประมาณ 15 เซนติเมตร และควรให้ระบบสายสวนปัสาวะเป็นระบบปิดเสมอ
3.2 ประชุมเจ้าหน้าที่เพื่อชี้แจงและมอบหมายการตรวจสอบการแขวนถุงปัสสาวะตามมาตรฐาน
3.3  พัฒนานวตกรรม เพื่อให้ระบบสายสวนปัสาวะเป็นระบบปิด และ ไม่มีน้ำปัสสาวะไหลเปื้อนพื้นดังนี้
3.3.1 การเตรียมอุปกรณ์  ชุดถุงใส่ปัสสาวะ 1 ถุง
3.3.2 เปิดชุดถุงใส่ปัสสาวะ และดึงจุกจากปลายข้อต่อด้านที่จะต้องต่อกับสายสวนปัสสาวะของผู้ป่วย
3.3.3 นำจุกที่ดึงออกมาไปสวมที่ปลายถุงที่ใช้เทปัสสาวะทิ้ง  ก็จะช่วยลดการปนเปื้อนที่ปลายถุงปัสสาวะได้ และทำให้เป็น closed  system  ตลอดเวลา


การพัฒนาต่อเนื่อง
          มีการกระตุ้นให้บุคลากรในหน่วยงานได้นำ “จุกนิรภัย” มาใช้ให้เป็นประโยชน์ และขยายผลให้หอผู้ป่วยพิเศษแต่ละชั้นนำไปใช้
          ดำเนินการตรวจสอบ การแขวนถุงปัสสาวะตามมาตรฐาน ผลการตรวจสอบดังตาราง
หอผู้ป่วย
จำนวนผู้ป่วยใส่สายสวนปัสสาวะ (ราย)
จำนวนครั้งที่แขวนสายสวนปัสสาวะต่ำกว่า 15 ซม.(ครั้ง)
จำนวนครั้งถุงปัสสาวะปิดไม่สนิท(ครั้ง)
พิเศษ 1
22
17
2
พิเศษ 2
8
6
3
พิเศษ 3
3
2
2
รวม
33
25
7



 
 ผลการดำเนินงาน
          1. ผู้ป่วยและญาติมีการเฝ้าระวังในการแขวนถุงปัสสาวะ และระวังปลายถุงปัสสาวะสัมผัสพื้นมากขึ้น
          2. พนักงานทำความสะอาดลดภาระในการทำความสะอาดพื้นห้องพักจากปัสสาวะหกรด
          3. บุคลากรในหน่วยงานเกิดความพึงพอใจ และนำไปปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง
          4. เป็นนวตกรรมที่ไม่ต้องใช้งบประมาณ

ตัวชี้วัดผลสำเร็จ 
ตัวชี้วัด
(KPI)
เป้าหมาย
(Target)
ผลลัพธ์ที่ปฏิบัติได้
ผู้ป่วยติดเชื้อจากปลายถุงปัสสาวะสัมผัสพื้น  (ร้อยละ)
0
0

สรุปผลการดำเนินงาน  
          นวัตกรรมชิ้นนี้เป็นสิ่งที่ทำได้ง่าย ไม่เสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม แต่ในทางปฏิบัติในหน่วยงาน ระยะแรกยังไม่ได้มีการทำทุกราย เนื่องจากเจ้าหน้าที่ลืม จึงทิ้งจุกหลังสวนปัสสาวะ ต่อมาได้มีการกระตุ้นเตือนจึงเริ่มใช้ “จุกนิรภัย”กันมากขึ้น และบางรายรับย้ายมาจากหน่วยงานอื่นผู้ป่วยใส่สวนปัสสาวะมาแล้วโดยไม่ได้ปิดจุกมาให้  จึงจะขยายผลแก่หน่วยงานอื่น ๆ ได้นำไปใช้เพื่อให้มีการดูแลผู้ป่วยได้อย่างต่อเนื่อง
 

การเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดสะดือทารก



ชื่อโครงการ  การเพิ่มประสิทธิภาพการทำความสะอาดสะดือทารก
หลักการและเหตุผล
      หลังจากออกมาลืมตาดูโลก สายสะดือ ที่อยู่กลางพุงป่องๆของเจ้าตัวน้อย มักเป็นปัญหาให้หนักอกหนักใจอย่างมาก ทั้งในมารดาครรภ์แรก ครรภ์หลังและครอบครัว  ปัญหาการไม่รู้ ไม่เข้าใจ และไม่กล้า ในการดูแลสะดือที่เพิ่งถูกตัด ซึ่งจะมีความยาวประมาณ 1 นิ้ว หลังจากนั้น 2 วันสายสะดือของเจ้าตัวน้อยจะเริ่มเหี่ยวการสัมผัสกับอากาศ เป็นตัวการช่วยเร่งให้สายสะดือแห้งและหลุดเร็วขึ้น ในที่สุดสายสะดือก็จะหลุดไปเอง
      
   ในระหว่างการมาคลอดในโรงพยาบาลมารดาทุกรายจึงต้องมีความรู้และสามารถกลับไปดูแลสะดือทารกต่อที่บ้าน เพราะสะดือจะเริ่มแห้งแต่ยังไม่หลุดซึ่งต้องใช้เวลานาน 1-2 สัปดาห์ ในบางรายอาจพบสะดือแฉะมีน้ำซึมหรือมีเลือดออก การใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคเช็ดบ่อยๆก็จะทำให้หายได้  แต่จากการปฏิบัติงานในหอผู้ป่วยสูติ-นรีเวช พบว่า มารดาหลังคลอดส่วนใหญ่มักกลัวการเช็ดสะดือให้กับทารก กลัวว่าลูกน้อยจะเจ็บ ไม่กล้าเช็ดถึงโคนสะดือ เช็ดเฉพาะที่ผิวสะดือบนเหนือผิวหนังขึ้นมา และ/หรือ เช็ดบริเวณผิวหนังบริเวณท้องของลูกน้อยเท่านั้น ซึ่งไม่เพียงพอ จึงทำให้สะดือคงเป็นแหล่งที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อและเกิดติดเชื้อลุกลามมากขึ้นได้  ในการเช็ดสะดือต้องเช็ดให้ถึงโคนสะดือ ซึ่งจะต้องมีการดึงหรือยกสะดือขึ้นเบาๆเพื่อให้สามารถสอดใส่ก้านสำลีสะอาดเข้าไปเช็ดทำความสะอาดได้  จากภารกิจดังกล่าวนี้ทำให้มารดาส่วนใหญ่ไม่กล้าเช็ดทำความสะอาดสะดือทารกจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้อาจเกิดการติดเชื้อสะดือทารกและส่งผลกระทบต่อพัฒนาการ การเจริญเติบโตของทารก  เกิดความไม่สุข สงบในครอบครัว และเกิดค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลืองให้กับโรงพยาบาล
      จากการปฏิบัติงาน มักพบปัญหาดังกล่าวเสมอๆ จึงเป็นสิ่งที่ต้องให้การดูแลพยาบาลอย่างใกล้ชิด และมีการติดตามประเมินผลการปฏิบัติของผู้ป่วยก่อนกลับบ้านทุกราย  จากผลการให้การพยาบาลในปี 2555, 2556 และ 2557  พบอัตราการกลับมารักษาซ้ำด้วยสาเหตุสะดืออักเสบ คิดเป็นร้อยละ0.35, 0.16 และ 0 ตามลำดับ การให้การพยาบาลหนึ่งต่อหนึ่ง ระหว่างการสอนและประเมินอย่างใกล้ชิด พบว่าเกิดผลลัพธ์ที่ดีทั้งต่อทารก ต่อครอบครัว และช่วยลดค่าใช้จ่ายของโรงพยาบาล

วัตถุประสงค์    
1.       เพื่อมารดาสามารถเช็ดสะดือทารกได้ถูกต้อง
2.       ลดอัตราการกลับมารักษาซ้ำของทารกด้วยสะดือติดเชื้อ
ตัวชี้วัดคุณภาพ
1.       อัตราการติดเชื้อสะดือทารกขณะพักในโรงพยาบาล:หอผู้ป่วยสูติ-นรีเวช  = 0
2.       อัตราการกลับมารักษาซ้ำใน 28 วัน จากสาเหตุการติดเชื้อสะดือทารก < ร้อยละ 0.1
ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1.        ทารกเจริญเติบโตและพัฒนาการสมวัย
2.        มารดาและครอบครัวมีความสุข
3.        ลดจำนวนการใช้ทรัพยากรของโรงพยาบาล

เริ่มปฏิบัติ   ( 1 ต.ค. 55 30 ก.ย. 57 ) ระยะเวลา  24 เดือน

แนวทางในการปฏิบัติ
1.    ประเมินลักษณะสะดือทารกเมื่อแรกรับเวร ทุก 8 ชั่วโมง 
2.       แยกอุปกรณ์ในการอาบน้ำทารก โดยใช้ 1:1 ไม่ปะปน เช่น กะละมังอาบน้ำ ไม้พัน
สำลีสำหรับเช็ดสะดือทารก น้ำยาเช็ดสะดือทารก
3.   จัดน้ำยาล้างมือให้มารดาที่เตียงสำหรับทำความสะอาดมือก่อนและหลังสัมผัส
ทารก
4.   ประชาสัมพันธ์ให้กับมารดา ครอบครัวและญาติในการใช้น้ำยาล้างมือเพื่อทำความ
สะอาดมือก่อนและหลังสัมผัสทารก
5.   สาธิตการเช็ดสะดือทารกให้มารดารายบุคคลอย่างใกล้ชิดทุกรายตามขั้นตอน ดังนี้
5.1 ล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังเช็ดสะดือทุกครั้ง
5.2 ใช้ไม้พันสำลี(cotton bud)ที่ปราศจากเชื้อเช็ดบริเวณโคนสะดือก่อนเพื่อทำ
ความสะอาดคราบ discharge เดิมออกจนสะอาดก่อนซึ่งสามารถเช็ดได้หลายๆครั้งจนกว่าจะสะอาด โดยประเมินจากลักษณะของdischarge ที่ติดมากับไม้พันสำลี
5.3   เมื่อบริเวณโคนสะดือและสายสะดือสะอาดแล้วให้ใช้ไม้พันสำลีจุ่มน้ำยาฆ่า
เชื้อโรค Trıple dye เช็ดบริเวณที่โคนสะดือก่อนและนำทิ้งไป

5.4   ใช้ไม้พันสำลีชิ้นใหม่จุ่มน้ำยาฆ่าเชื้อโรค Trıple dye และเช็ดที่สายสะดือโดย
เช็ดวนจนรอบสายสะดือจากส่วนโคนวนขึ้นมาที่ปลายสายสะดือและทิ้งไป
5.5   การเช็ดสายสะดือให้เช็ดจนสายสะดือเปลี่ยนสีเป็นสีของน้ำยาจนทั่วทั้งสาย
สะดือ และสามารถเช็ดได้ไม่จำกัดจนกว่าสายสะดือจะเปลี่ยนสีเป็นสีของน้ำยา Trıple dye
5.6 เช็ดผิวหนังรอบสะดือ วนรอบออกไปจากโคนสะดือประมาณ 1 เซนติเมตร
5.7 แนะนำจำนวนครั้งของการเช็ดสะดือทารกแก่มารดาและญาติ ควรเช็ดอย่าง
น้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น
 


                   6.  ประชาสัมพันธ์กับมารดา ครอบครัวและญาติ เรื่องความสะอาดเครื่องผ้าของทารกควรซักสะอาด เพื่อป้องกันการปนเปื้อนต่างๆจากเครื่องผ้า
7.  ติดตามประเมินการเช็ดสะดือทารกโดยให้มารดา/ผู้ดูแลได้สาธิตย้อนกลับทุกราย และ
ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลเสียของการเช็ดสะดือทารกไม่สะอาด
                   8.  ให้คำแนะนำสำหรับมารดาและญาติก่อนกลับบ้านทุกราย  ดังนี้
8.1 เมื่อสะดือใกล้จะหลุดอาจมีน้ำเหลืองหรือเลือดออกห้ามใช้แป้งและยาโรยสะดือ
เพราะจะทำให้ดูเหมือนสะดือแห้งดี ส่วนรอยต่อระหว่างสะดือกับผิวหนังหน้าท้องยังแฉะอยู่ซึ่งเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรค อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อโดยเฉพาะการติดเชื้อที่กระแสเลือดซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงทำให้ลูกมีความเสี่ยงที่จะถึงแก่ชีวิตได้
8.2 อย่าปล่อยให้ลูกใส่เสื้อผ้าที่ไม่สะอาดหรือนอนแช่ปัสสาวะ
8.3 การห่อหรือพันผ้าที่สายสะดือไม่จำเป็นเพราะถ้าผ้าสกปรกจะเกิดการอักเสบติดเชื้อ
ได้มากขึ้น
                          8.4 ถ้าสังเกตพบว่าสะดือมีกลิ่นเหม็นและผิวหนังรอบสะดือบวมแดงหรือสะดือยังแฉะอยู่หลายวัน หลังจากสะดือหลุดแล้วควรพาลูกมาพบคุณหมอ


 
ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
                   1.ไม่เกิดการติดเชื้อที่สะดือทารกขณะพักรักษาในหอผู้ป่วยสูติ-นรีเวช 
                   2. อัตราการกลับมารักษาซ้ำใน 28 วัน จากสาเหตุติดเชื้อสะดือทารก เสนอดังตาราง

                   รายการ
ปี 2555
ปี 2556
ปี 2557
1.จำนวนทารกแรกเกิดคลอดและจำหน่ายจากหอผู้ป่วยสูติ-นรีเวช 
1,156
1,213
1,113
2.จำนวนทารกแรกเกิดติดเชื้อสะดือในโรงพยาบาล
0
0
0
3.อัตราทารกแรกเกิดติดเชื้อสะดือ
ในโรงพยาบาล
0
0
0
4.จำนวนทารกกลับมารักษาซ้ำจากสาเหตุการติดเชื้อสะดือ
4
2
0
5.อัตรากลับมารักษาซ้ำใน28วันจากสาเหตุทารกติดเชื้อสะดือ(ร้อยละ)
0.35
0.16
0

ประโยชน์ที่ได้รับ
1.       เจ้าหน้าที่มีความสุขในการให้บริการ และเกิดความภูมิใจเมื่อเห็นมารดาสามารถปฏิบัติตามได้
ปัญหาอุปสรรค
1.    มารดาและญาติยังไม่เห็นความสำคัญของการล้างมือให้สะอาดก่อนและหลังเช็ดสะดือทารก
2.   การสื่อสารในมารดาต่างชาติเกิดความเข้าใจไม่ตรงกันเนื่องจากไม่เข้าใจภาษาพูด
3.   ระบบการประสานงานการเยี่ยมเมื่อกลับไปบ้านติดตามได้ไม่ครบถ้วน