วันอังคารที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2557

อ้อมกอดครั้งสุดท้าย

            มนุษย์เมื่อเกิดมาแล้วย่อมหลีกเลี่ยงความเจ็บปวด ความแก่เฒ่าและความตายไม่พ้น สิ่งที่ทุกคนปรารถนาคือ การตายอย่างสงบ ไม่เจ็บไม่ปวด ไม่ทุกข์ทรมาน ปี2555 ฉันเพิ่งมารู้ว่าสิ่งที่ตนเองได้ปฏิบัติมาตลอด นักวิชาการเขาเรียกว่า   การดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย เริ่มจากการเห็นผู้ป่วยมะเร็งที่มารักษาที่ตึกศัลยกรรมหญิง มีความทุกข์ทรมานมาก ฉันจึง      เข้าไปพูดคุย แสดงความเห็นอกเห็นใจ บางครั้งต้องอดทนอารมณ์หงุดหงิดกราดเกรี้ยว ไม่มีสูตรสำเร็จในการดูแลผู้ป่วย    แต่ละคน การปฏิบัติถูกปรับเปลี่ยนไปโดยอัตโนมัติ ผู้ป่วยทุกคนอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ ดังเช่นเรื่องราวของขาว     บุญพามารู้จักกัน

            ขาว (นามสมมุติ ) หญิงสาวแม่ลูกสองอายุ 36 ปี ฉันได้รู้จักเธอเดือนตุลาคม 2555  แรกรับเธอมีอาการท้องโต  ปวดท้องมาก หายใจเหนื่อยหอบ นอนราบไม่ได้ หน้าตาซูบซีด หลังจากแพทย์เจาะท้องระบายน้ำออก  ท้องยุบลงทันตาเห็น อาการเหนื่อยลดลง พอขยับได้บ้าง แต่ก็ปวดเมื่อยตามร่างกาย ฉันจึงช่วยนวดแขน นวดหลัง นวดขาให้  เป็นอย่างไร           ดีขึ้นไหมคะ ฉันถามขณะนวด เธอตอบว่า  “ดีคะ รู้สึกผ่อนคลาย เบาสบาย” ฉันถามต่อว่าแล้วรู้สึกหายปวดหรือเปล่า    “เธอยิ้มน้อย ๆ พูดว่า  ไม่หายปวดหรอกพี่ แต่มันรู้สึกสบายขึ้น” หลังจากวันนั้นฉันได้เข้าไปพูดคุยกับเธอและแม่ซึ่งอยู่เฝ้าดูแลเกือบตลอดว่า  “สายตาแม่แทบไม่เคยห่างหายจากขาว”  ฉันรู้สึกได้ถึงความรักของแม่ ความผูกพันของแม่ลูกคู่นี้  บางวันสามีจะพาลูกสาวอายุ 4 ขวบ ลูกชายอายุ 2 ขวบ มาเยี่ยมให้กำลังใจขาว

            พี่คะหมอแนะนำจะให้เคมีบำบัด หนูกลัว ดิฉันจับมือคนไข้แล้วพูดให้กำลังใจทั้งคนไข้และญาติว่า “พี่จะคอยเป็นกำลังใจและหมั่นไปเยี่ยมบ่อย ๆ นะ  พูดถึงความกลัวทุกคนก็กลัวทั้งนั้นแหละ แต่มาถึงขั้นนี้แล้วเพื่อที่จะได้อยู่กับลูกและแม่หนูต้องอดทนนะคะ” หลังให้ยาเคมีบำบัด ขาวอาการดีขึ้น  กลับไปอยู่บ้านได้ไม่นาน ต่อมาขาวอาการ   ทรุดหนัก เพราะโรคได้ลุกลามไปอภัยวะอื่นทำให้ ปวดท้อง ท้องแข็ง เหนื่อย กินไม่ได้ อาเจียนทุกครั้งเมื่ออาหารตกถึงกระเพาะ แต่ก็อยากกินทุกอย่าง แม่และสามีก็ซื้อมาให้กิน บางครั้งกินเข้าปากแล้วบ้วนทิ้งเพื่อจะได้ไม่อาเจียน นอนก็ไม่หลับ น่าสงสารมาก “หนูไม่ไหวแล้วหนูอยากตายเหลือเกินมันทรมานมากบางครั้งพูดไปร้องไห้ไป ” พี่นวดหลังให้หนูหน่อย ให้หนูหลับก่อนนะแล้วพี่ค่อยไป แม่หนูนวดก็ไม่เหมือนพี่นวด แฟนหนูนวดก็ไม่เหมือนพี่นวด ทั้งๆ ที่พี่สอนแล้ว ดิฉันนวดให้ซักพักใหญ่ขาวก็หลับไป ฉันจึงชวนแม่ออกมาคุยข้างนอกห้อง สีหน้าที่บ่งบอกความทุกข์ใจของแม่  ทำให้ฉันบอกว่า  พี่เข้าใจและเห็นใจความรู้สึกทุกข์ทรมานทั้ง 2 คน มีอะไรจะให้พี่ช่วยไหมคะ  หนูสงสารลูกเหลือเกินไม่รู้จะทำอย่างไร  รู้อย่างนี้หนูไม่ให้หมอทำผ่าตัดหรอกแม่พูดไปร้องไห้ไป  ฉันให้เหตุผลไปว่า แต่ถ้าไม่ทำผ่าตัดลูกจะนอนไม่ได้ ท้องก็โต แน่นอึดอัดนอนไม่สบาย ลูกทรมานมากก่อนเจาะท้องใช่ไหม แม่ทำดีที่สุดแล้วอย่าโทษตัวเองเลย แม่ต้องเข้มแข็งนะ แต่อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย ถ้าป่วยลูกจะขาดที่พึ่งนะคะ

            วันต่อมาฉันขึ้นไปเยี่ยมอาการอีก พอเห็นหน้าก็ยกมือสวัสดีทั้งแม่และลูกด้วยความดีใจ ฉันถามว่า  วันนี้เป็นอย่างไรบ้าง  ขาวสีหน้าหม่นหมองตอบว่า เหมือนเดิมแหละพี่กินไม่ได้นอนก็ไม่หลับปวดทรมาน หนูอยากกลับบ้าน      ฉันถามต่อ อยากให้พี่ช่วยอะไรไหมคะที่จะทำให้สบายใจบ้าง แม่และขาวตอบพร้อมกันว่า อยากทำสังฆทาน ฉันตอบตกลงพรุ่งนี้จะช่วยเตรียมของมาให้ แม่ขาวรีบบอกว่า เงินหนูไม่มีแต่ไม่เป็นไรเกรงใจพี่เดี๋ยวไปขอเรี่ยไร บอกบุญเพื่อนบ้าน วันรุ่งขึ้นแม่ก็ได้สังฆทานมา 1 ถัง จริง ๆ  ฉันช่วยเตรียมอาหาร หวาน คาว ดอกไม้ ธูป เทียน มาให้  เจ้าหน้าที่หอผู้ป่วยนิมนต์พระมาให้ 1 รูป  หลังจากวันนั้น ฉันขึ้นมาเยี่ยมอีก  ขาว...แม้ว่าจะซูบผอมหนังหุ้มกระดูก รีบยกขึ้นนั่ง ยกมือไหว้ ฉันรับไหว้ เธอมองฉันด้วยสายตาระห้อย หมดอาลัย โดยไม่คาดฝัน ขาวยกแขน 2 ข้างขึ้น แล้วโผเข้ากอดฉัน “ พี่คะ หนูขออนุญาต   เรียกพี่ว่าแม่นะ หนูรักพี่เหมือนแม่คนที่ 2 ของหนูเลย ” พูดพลางร้องไห้สะอึกสะอื้น ฉันตกใจพยายามตั้งสติและกลั้นน้ำตาไว้ แล้วโอบกอดตอบ “คะแม่ก็รักหนูเช่นกันแล้วหนูอย่าลืมไปกอดแม่ผู้ให้กำเนิดหนูด้วยนะ”เพราะแม่เขารักหนูมากดูแลหนูเป็นอย่างดีไม่ได้หลับไม่ได้นอนเห็นไหมคะ แม่คนนี้ขอให้หนูตั้งสติให้ดีวันที่ลูกจะจากแม่ไปให้ลูกคิดถึงบุญกุศลคุณงามความดีที่หนูทำมาทั้งชีวิตจะได้ไปพบสิ่งดี ๆ ในภพหน้านะ คะ แต่หนูก็ยังไม่อยากตายอยากทำงานหาเงินให้แม่ ดูแลแม่ให้สบายกว่านี้ หนูยังไม่ได้ทำเลย หนูทำได้คะ เพียงแค่กอด พูดคุย แสดงความรักกับแม่
         
           ขาวมีสีหน้าดีขึ้น เหมือนตัดสินใจได้ เธอขอกลับบ้าน ใช้ชีวิตช่วงสุดท้ายกับแม่ สามี และลุกทั้งสอง 3วัน หลังจากนั้น ขาวก็เสียชีวิตอย่างสงบ

หนึ่งเดือนกว่าที่ฉันได้ไปเยี่ยมเยียนดูแลพุดคุยให้กำลังใจขาว  ทำให้ฉันรู้สึกภาคภูมิใจ ประทับใจ ได้เรียนรู้ว่า
            1.เมื่อคนรู้ตัวว่าจะตายจะคิดถึงบ้านที่เคยอยู่และอยากกลับบ้าน
            2.คิดถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ตอบแทนพระคุณ พ่อ-แม่
            ฉะนั้น ขณะที่มีชีวิตอยู่ก็ควรจะหมั่นสร้างความดี ทำบุญกุศล ทดแทนพระคุณพ่อ-แม่ ก่อนที่จะไม่ได้ทำนะคะ


ผู้เขียน   นางสาวนารี  สมโภชน์
บรรณาธิการเรื่องเล่า  นางกาญจนา  สรรพคุณ

ใครลิขิต...ชีวิตนี้



                
                  ทุกชีวิตเกิดมาไม่มีใครรู้หรอกว่า  เราจะต้องมาพบเจอกับอะไรบ้าง  บางชีวิตเกิดมาเพียบพร้อมไปทุกอย่างทั้งทรัพย์สินเงินทอง   เกียรติยศชื่อเสียง   และครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ    แต่สำหรับชีวิตของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งช่างอาภัพไร้บุญวาสนายิ่งนัก  ไม่มีทั้งทรัพย์สินเงินทองและที่อยู่อาศัย  ต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์  ขาดทั้งความรักความอบอุ่นที่ควรจะได้รับจากพ่อแม่เมื่อเทียบกับเด็กในวัยเดียวกัน  แม้แต่ชีวิตเธอก็ยังไม่สามารถจะรักษาไว้ได้  เหลือความหวังสุดท้ายที่จะได้พบหน้าแม่ก่อนลมหายใจจะหมดไปก็ยังไม่ได้ดังใจปรารถนา   ใครหนอ...ลิขิตชีวิตเธอ

  ก่อนจะเขียนเล่าเรื่องราวของเด็กผู้หญิงคนนี้ดิฉันก็ต้องขออนุญาตต่อดวงวิญญาณของเด็กน้อยผู้จากไปที่ได้นำเรื่องราวของเธอมาเปิดเผยซึ่งผิดหลักจรรยาบรรณของวิชาชีพ  ถ้าสิ่งใดล่วงเกินไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตามต้องขอขมาต่อดวงวิญญาณของหนูน้อยมา ณ ที่นี้ด้วย

เด็กผู้หญิงคนหนึ่งเกิดมาพร้อมกับชะตากรรมที่อาภัพเหลือเกิน  ที่ใครฟังเรื่องราวของเธอแล้วต้องสะเทือนใจไปกับชีวิตของเธอ ขอเรียกเธอว่า “ น้องอี๊ฟ ”  น้องอี๊ฟเป็นเด็กผู้หญิงอายุ 10 ปี เป็นเด็กสถานสงเคราะห์ที่อำเภอพระพุทธบาท  เธอต้องมาอยู่ในสถานสงเคราะห์เพราะแม่ไม่สามารถเลี้ยงบุตรจำนวน 4 คนได้ ด้วยเหตุผลหลายๆ อย่าง เธอเป็นลูกคนที่ 3 มีพี่สามและพี่ชาย และน้องชายซึ่งก็มีปัญหาเรื่องโรคหัวใจ  และปัญญาอ่อน  ต้องไปอยู่สถานสงเคราะห์ที่ปากเกร็ดเพื่อรักษาตัวเพราะที่บ้านฐานะยากจน  ส่วนพ่อก็เสียไปแล้ว  และอีกสาเหตุหนึ่งที่ครอบครัวต้องแตกแยกกันไป  เพราะเธอถูกพี่ชายของเธอกระทำชำเรา  แม่จึงต้องแยกเธอออกมาเพื่อให้พ้นจากพี่ชาย  และทุกคนต่างแยกกันไปคนละทิศละทาง  โดยปกติแม่เธอจะมาเยี่ยมน้องอี๊ฟเดือนละ 1 - 2 ครั้ง  มาแต่ละครั้งน้องอี๊ฟก็จะเอาเงินค่าขนมที่เธอเก็บไว้ในแต่ละวันรวบรวมเอาไว้ไปให้แม่ของเธอนำเอาไปให้น้องของเธอที่ปากเกร็ดเสมอ   น้องอี๊ฟเป็นเด็กดีขยันเล่าเรียนมีน้ำใจ ครูทุกคนในสถานสงเคราะห์รักและเอ็นดูเธอ  แล้ววันหนึ่ง เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นกับน้องอี๊ฟ  เธอมีอาการปวดท้อง ท้องอืดไม่ขับถ่ายมาหลายวัน ความที่เธอเป็นคนอดทนไม่ค่อยพูด  เธอไม่บอกใครจนเธอทนไม่ไหวไปบอกครูพี่เลี้ยงให้พามาพบแพทย์ที่โรงพยาบาล

แพทย์ตรวจพบว่าไส้ติ่งแตกจึงได้ทำการผ่าตัด หลังผ่าตัดอาการน่าจะดีขึ้น แต่หาเป็นเช่นนั้นไม่ อาการกลับแย่ลงจนเกิดภาวะช็อก ความดันตก แพทย์และพยาบาลให้การดูแลและรักษาอย่างดีที่สุด ใช้ยาที่แพงมากแต่อาการก็ยังกลับทรุดลงเรื่อยๆ จนแพทย์ต้องให้ตามญาติมารับทราบข้อมูล  แต่เธอไม่มีญาติมาเยี่ยมเลย  มีเพียงครูพี่เลี้ยงที่มาเยี่ยมเธอ คุณครูพี่เลี้ยงบอกว่าจะติดต่อตามญาติให้มาเยี่ยม  และช่วงเย็นก็มีผู้หญิงมาเยี่ยมน้องอี๊ฟ  วันนั้นดิฉันไม่ได้ขึ้นเวรเพิ่งกลับมาจากการประชุม  ได้แวะไปที่ตึกเพื่อดูอาการของน้องอี๊ฟ  ได้พบพี่สาวของน้องอี๊ฟ  เธอบอกว่าเธอเป็นพี่สาวคนโตของน้องอี๊ฟ  ดิฉันได้พาพี่สาวไปนั่งพูดคุยซักถามจนได้ทราบเรื่องราวทั้งหมดของน้องอี๊ฟและยังทราบว่าแม่ของน้องอี๊ฟอยากมาเยี่ยมลูกเหลือเกิน  แต่ไม่สามารถจะมาได้เพราะเธอ  “ ติดคุกอยู่ ” ดิฉันฟังแล้วก็ให้นึกสังเวชใจในโชคชะตากรรม แต่น้องอี๊ฟเธอไม่รู้เลยว่าแม่เธอติดคุก เธอเฝ้ารอแม่ของเธอทุกๆ วัน แม่ไม่มาหาเธอเลย เธอได้แต่รอและก็รอ โดยไม่รู้สาเหตุว่าทำไมแม่ไม่มาหาเธอ จนถึงวันนี้น้องอี๊ฟก็ยังรอแม่เธอเสมอ  ดิฉันฟังเรื่องราวของน้องอี๊ฟก็รู้สึกสงสารเธอเป็นอย่างมาก  ปรารถนาให้น้องอี๊ฟและแม่ของเธอได้พบกันสักครั้ง  แม้จะเป็นการพบกันครั้งสุดท้ายก็ตาม  จึงได้ปรึกษาทีม Palliative care ให้ช่วยติดต่อประสานงานเผื่อจะมีหนทางช่วยเหลือบ้าง  แต่ช่วงนั้นติดวันหยุดเสาร์-อาทิตย์  ไม่มีใครสามารถตัดสินใจได้ต้องรอถึงวันจันทร์ แต่ก็ไม่ทันเวลาเสียแล้ว  เพราะน้องอี๊ฟไม่สามารถจะอยู่ทนรออีกต่อไปได้  ดิฉันและพี่สาวของเธอได้เข้าไปหาน้องอี๊ฟ เข้าไปจับมือแล้วก็ภาวนา  ขอบุญกุศลที่ทำมาและอำนาจของคุณพระศรีรัตนตรัยจงดลบันดาล ช่วยให้น้องอี๊ฟมีอาการดีขึ้น  หรืออย่างน้อยก็อยู่จนได้พบหน้าแม่ของเธอเป็นครั้งสุดท้าย  ได้บอกให้เธอสวดมนต์ไว้เผื่อจะมีปาฏิหาริย์  แต่อนิจจา...สำหรับน้องอี๊ฟแล้ว... ปาฏิหาริย์ไม่มีจริง หัวใจของน้องอี๊ฟค่อยเต้นแผ่วลงๆ เรื่อยๆ

พี่สาวของเธอเข้าไปลูบผมของน้องสาวเบาๆ และพูดกับน้องของเธอว่า “น้องอี๊ฟพี่อยู่ตรงนี้แล้วตอนนี้แม่ไม่สามารถมาหาน้องได้นะ แต่ไม่ต้องห่วงนะ เดี๋ยวแม่จะมาทีหลัง พี่นี่แหละจะเป็นตัวแทนของแม่เอง ”  ดิฉันเห็นน้ำตาของน้องอี๊ฟไหลออกมาอาบสองแก้มของเธอ ฉันเฝ้ามองภาพนั้นด้วยความสะเทือนใจไม่อาจกลั้นน้ำตาไว้ได้อีกต่อไป ต้องรีบเดินออกไปเพื่อทำใจสักครู่ใหญ่  แล้วเดินไปดูเธออีกครั้ง น้องอี๊ฟดูสงบนิ่งไม่ทุรนทุรายเหมอนแรกๆ มองไปที่เครื่อง Monitor EKG หัวใจของเธอเต้นช้าลงเหลือ 46 ครั้ง รีบเรียกทีมเพื่อทำ CPR เพราะญาติยังอยากให้รอแม่ก่อน ทำไปแค่ 17 นาที พี่สาวและครูพี่เลี้ยงก็มาบอกให้หยุด CPR เพราะสงสารน้องอี๊ฟ ให้น้องไปอย่างสงบเถิด ทุกคนในที่นั้นก็หยุดทำ ตามความปรารถนาของญาติ แต่การเต้นของหัวใจยังไม่หยุดนิ่งสนิท ยังมีช้าๆ แผ่วๆ ดิฉันได้บอกแพทย์ พยาบาล พี่สาวและครูพี่เลี้ยงให้มายืนรอบๆ ร่างของน้องอี๊ฟ และบอกทุกคนให้ตั้งจิตอุทิศบุญกุศล พร้อมขออโหสิกรรมต่อน้องอี๊ฟพร้อมกัน  โดยมีดิฉันเป็นผู้กล่าวนำ  “ หากแพทย์พยาบาลและทุกคนในที่นี้ได้เคยล่วงเกินน้องอี๊ฟ ด้วยกาย วาจา ใจ  โดยความตั้งใจก็ตามหรือไม่ตั้งใจก็ตามต้องขออโหสิกรรมต่อน้องอี๊ฟด้วย และขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยและบุญกุศลที่ทุกคนได้ทำมาดีแล้ว ขอจงดลบันดาลให้น้องอี๊ฟไปสู่สุคติภูมิด้วยเถิด สาธุ ”

น้องอี๊ฟจากไปด้วยความสงบด้วยใบหน้าที่ยิ้มพราย เธอคงอยู่ในดินแดนที่สุขสบายแล้ว  ด้วยความดีและความบริสุทธิ์ของเธอ ไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับชีวิตที่ผ่านมาอีกแล้ว หลับให้สบายเถอะนะน้องอี๊ฟผู้น่าสงสาร หลังจากนั้นดิฉันและแพทย์ก็ร่วมติดต่อประสานงานขอรถโรงพยาบาลไปส่งน้องอี๊ฟ และขอบริจาคโรงศพ เพราะญาติไม่มีเงินแม้แต่จะซื้อโรงศพเพื่อใส่ร่างน้องอี๊ฟ  ซึ่งก็มีคุณครูพี่เลี้ยงร่วมกันบริจาคโรงศพมาให้น้องอี๊ฟ  ดิฉันร่วมไปส่งน้องอี๊ฟกลับบ้านของเธอ ได้บอกกับน้องอี๊ฟว่า ได้กลับบ้านเสียทีนะ บ้านที่หนูจากมาและคิดถึงอยู่ตลอดเวลา วันนี้ได้กลับบ้านจริงๆ เสียที พี่สาวของเธอก็ยังอยากให้แม่มาร่วมงานศพของน้องอี๊ฟเป็นครั้งสุดท้าย ดิฉันได้ติดต่อประสานงานกับทีม Palliative care ซึ่งได้รับคำตอบว่าไม่สามารถจะให้แม่ของเธอมาร่วมงานศพได้เพราะผิดระเบียบของกรมราชทัณฑ์

ดิฉันก็ยังไม่ละความพยายาม โทรไปที่เรือนจำเจอกับเจ้าหน้าที่ เจ้าหน้าที่ได้อธิบายกฎระเบียบว่าผู้ต้องหาต้องติดคุก 2 ใน 3 ของจำนวนปีที่ได้รับโทษจึงจะอนุญาตให้ออกมาข้างนอกได้  ซึ่งแม่ของน้องอี๊ฟยังไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่จะออกมาได้  ดิฉันรู้สึกผิดหวังแต่ก็ไม่รู้จะช่วยได้อย่างไร ได้ขอโทษพี่สาวของน้องอี๊ฟที่ไม่สามารถจะทำให้ความหวังครั้งสุดท้ายของน้องอี๊ฟเป็นจริงได้ ซึ่งพี่สาวของน้องอี๊ฟก็เข้าใจ  ได้นำเงินที่ร่วมกันบริจาคมอบให้พี่สาวของเธอ พี่สาวของเธอก็ขอบคุณในความมีน้ำใจของเจ้าหน้าที่ทุกท่าน
สุดท้ายนี้ต้องขอโทษน้องอี๊ฟ และญาติๆ เธอด้วยทีดิฉันไม่สามารถจะทำให้ความหวังครั้งสุดท้ายของน้องอี๊ฟเป็นจริงได้ แม้ลมหายใจของเธอจะหมดไปแล้วแต่เธอก็ยังไม่ได้รับในสิ่งที่เธอปรารถนา  ไปดีเถิดนะน้องอี๊ฟผู้น่าสงสาร  ชาตินี้หนูถูกลิขิตด้วยชะตากรรมแต่สำหรับชาติหน้าหนูลิขิตชีวิตตนเองได้ด้วยความดีที่ทำมา หลับให้สบายเถอะนะคนดี  ถ้าความดีที่ดิฉันทำมาทั้งชีวิตมีอนุภาพ ขอจงเป็นพลวปัจจัยส่งให้น้องอี๊ฟไปสู่สุคติในสัมปรายภพด้วยเถิด  สาธุ ...

         บทสรุปสุดท้าย   ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีใครลิขิตชีวิตเราแต่เราเป็นผู้ลิขิตชีวิตตัวเอง   สิ่งที่เกิดขึ้นกับเรา ไม่ว่าดีหรือชั่วก็ตามล้วนเกิดจากผลการกระทำของเราทั้งสิ้น   สุขหรือทุกข์เราเป็นผู้เลือกเองและทำเองและเราก็เป็นผู้ได้รับผลของการกระทำนั้น   ไม่ว่าวันนี้  วันหน้า ตลอดจนถึงข้ามภพข้ามชาติเราก็จะได้รับผลของการกระทำนั้นแน่นอน   ไม่มีอะไรอยู่เหนือกฎแห่งกรรม เพราะ..กฎแห่งกรรมยุติธรรมเสมอ

นางศรีไพร       ภิญโญ
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
โรงพยาบาลพระพุทธบาท

ช่วงสุดท้ายของชีวิต



ช่วงสุดท้ายของชีวิต

            ความตายเป็นสิ่งที่แน่นอนสำหรับทุกชีวิต แต่ขณะเดียวกัน ก็เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน เพราะเราไม่อาจกำหนดหรือสามารถทำนายได้ว่า จะตายเมื่อใด ที่ไหน  และด้วยสาเหตุอะไร  ......จะยากดีมีจน ก็ไม่มีใครหนีพ้น.....

        คงจะเป็นจริงดังบทความที่ว่าไว้  แม้ในปัจจุบันจะมีความก้าวหน้าทางการแพทย์ ตลอดจนเทคโนโลยีที่ถูกนำมาพัฒนาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้ขีดความสามารถสูงขึ้น เพื่อต้องการฝืนธรรมชาติของมนุษย์เอา ไว้ให้ยาวนาน แต่โรคบางโรคก็สามารถแข่งและพัฒนาเท่ากับความทันสมัยของเครื่องมือและยาควบคู่กันไป  เช่นโรคมะเร็งที่คร่าชีวิตคนไปจำนวนไม่น้อย ถึงแม้จะมีวิธีการรักษาที่ทันสมัย แต่ไม่สามารถลดอัตราการเสียชีวิตลงได้ หอผู้ป่วยหนักเป็นหน่วยงานซึ่งไม่ได้รับผู้ป่วยที่มีภาวะวิกฤตหรือภาวะคุกคามชีวิต แต่ยังคงมีผู้ป่วยอีกจำนวนหนึ่งที่เจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรังซึ่งไม่สามารถรักษาหรือเยียวยาให้อาการดีขึ้นได้ นอกจากประคับประคองให้ผู้ป่วยปราศจากความทุกข์ทรมานและลดความเจ็บปวด และเปิดโอกาสให้ญาติได้ดูแลในช่วงสุดท้ายของชีวิต

        น้าอ้อยก็เป็นผู้ป่วยอีก 1 ราย ที่ต่อสู้กับโรคร้ายมานาน จนถึงช่วงระยะสุดท้ายของโรค  ซึ่งแพทย์ไม่สามารถรักษาให้หายขาดจากโรคนี้ได้  น้าอ้อยจึงเลือกกลับมาใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตกับครอบครัวและคนที่รัก  น้าอ้อยเป็นมะเร็งที่ผนังมดลูก ได้เข้ารับการรักษา ที่ ร.พ กรุงเทพ ระยะเวลา 2 ปี ด้วยการฉายแสงและเคมีบำบัด ระยะหลังมะเร็งเริ่มลุกลามไปอวัยวะใกล้เคียง แพทย์จึงยุติการรักษาและแนะนำให้กลับมาดูแลต่อที่บ้าน   สามีของน้าอ้อยยังไม่ละความพยายามในการรักษา  ยังหาสถานที่รักษาต่างๆให้กับภรรยาอย่างถึงที่สุด  แต่อาการของน้าอ้อยเริ่มทรุดลงเรื่อยๆ  น้าอ้อยเริ่มมีอาการเหนื่อยหอบมากขึ้น  ครอบครัวจึงพาน้าอ้อยเข้ารับการรักษาที่ ร.พ พระพุทธบาท  ในหน่วยงาน I.C.U  จำเป็นต้องใส่ท่อช่วยหายใจ   

        วันแรกที่เข้ารักษาน้าอ้อยรู้สึกตัว รู้เรื่อง สีหน้าสดชื่น ไม่มีอาการเหนื่อยหอบมากนัก อีก 3  ต่อมา น้าอ้อยเริ่มปวดตามร่างกาย เหนื่อยหอบ กระสับกระส่าย ร้องให้และซึมลง  ครอบครัวมีความวิตกกังวลมาก  ทางทีมPalliative  Care ในตึกI.C.U จึงร่วมหาแนวทางดูแลแบบประคับประคอง   โดยเชิญสามีและลูกสาวมาร่วมดูแลพูดคุย ช่วงระหว่างสนทนาสามีน้าอ้อย พูดว่า “ผมพาภรรยารักษาทุกที่ ที่ไหนเค้าว่าดี ผมพาหมด ไกลแค่ไหน หมดเงินเท่าไหร่ ผมไม่เคยเสียดาย ผมและลูกหวังแต่เพียง.. (เสียงขาดหายไป) ….อยากให้เค้าอยู่กับเรานานๆ  ไม่อยากสูญเสียเค้าไป ผมรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ หมอ ร.. กรุงเทพบอกให้ผมทำใจ.สามีของน้าอ้อยพยายามจะพูดต่อ  แต่พูดไม่ออก น้ำตาซึม ก้มหน้า ลูกสาวนั่งร้องไห้อยู่ข้างๆพ่อ สามีน้าอ้อยพยายามแข็งใจพูดให้จบ “ ผมรู้ว่าเวลามันเหลือน้อยลงทุกที  แต่ผมก็ยังทำใจไม่ได้  สงสารเค้า    ดิฉันเข้าใจความรู้สึกของเขาทั้งสองคน เพราะเคยผ่านประสบการณ์  การสูญเสียเช่นนี้มาแล้วหลายครั้ง  โดยเฉพาะคำว่าทำใจไม่ได้  เพราะมันเรื่องยาก ที่บุคคลอันเป็นที่รักของเราที่สุดในชีวิต ต้องจากไป อย่างไม่มีวันกลับ  อาจต้องใช้เวลาเยียวยา และสร้างกำลังใจของเราขึ้นมาเป็นกำแพงให้เกิดความเข้มแข็ง หลังจากสนทนาจบทีมPalliative  care ทราบความต้องการของน้าอ้อยคือเป็นห่วงแม่ และน้องที่พิการ  อยากไปไหว้พระที่วัดปากช่อง  ดิฉันให้กำลังใจลูกสาว ด้วยการลูบมือเบาๆ   “ พี่ขอให้ครอบครัวของน้องผ่านวิกฤตชีวิตนี้ไปให้ได้  ให้กำลังใจซึ่งกันละกัน และเราคงต้องยอมรับความเป็นธรรมชาติของมนุษย์  เกิด แก่ เจ็บ ตาย  ไม่มีใครในโลกที่จะหลีกหนีความตายไปได้  แม้แต่พระพุทธเจ้า  อย่ารู้สึกกลัวแม้แต่ตัวเราเอง  เราต้องเตรียมพร้อมสิ่งที่จะเกิดขึ้น  เพื่อให้เกิดสติ  ครอบครัวเราไม่ได้โชคร้าย  ยังมีอีกหลายครอบครัวที่เค้าไม่มีโอกาสได้ดูแล  แต่เรายังโชคดี มีโอกาสได้ดูแลแม่นะ  เวลาที่เหลืออยู่จะมีมากหรือน้อยไม่สำคัญ ขอให้ใช้เวลาที่เหลืออยู่ ให้คุ้มค่าที่สุด  เจ้าหน้าที่ทุกคนจะเป็นกำลังใจ และช่วยกันดูแลแม่ของเรานะ   ดิฉันได้เห็นรอยยิ้มแม้จะมีคราบน้ำตาของ 2 พ่อลูก                                                                                                                                                        
          ทางทีม Palliative care  ได้จัดกิจกรรมแนวทางการดูแลให้กับน้าอ้อยและครอบครัว คือ ตอนเช้าลูกสาวจะนำข้าวให้ใส่บาตรทุกเช้า การประกอบพิธีกรรมทางศาสนาต่างๆ เช่น การถวายสังฆทาน  ช่วงบ่ายให้มีส่วนร่วม ช่วยเช็ดตัว พลิกตะแคงตัว Feed อาหาร การนวดผ่อนคลาย  การสัมผัส อ่านบทสวดมนต์ ช่วงที่ญาติไม่ได้เข้าเยี่ยม  เจ้าหน้าที่ได้เปิดเพลงบรรเลง บทสวดมนต์ พระเทศนา ภาวนาทองเลน  น้าอ้อยดูมีสีหน้าสดชื่นขึ้น แม้ว่าอาการเหนื่อยหอบและปวดมากขึ้นเรื่อยๆ อีก 4 - 5 วันต่อมา น้าอ้อยอาการทรุดลง  แพทย์ได้เพิ่มยาMo เป็นแบบDrip  น้าอ้อยเริ่มซึมลง  หัวใจเต้นเร็วขึ้น  ความดันโลหิตต่ำลงอาการเหนื่อยแม้ได้Mo Drip อาการเหนื่อยหอบไม่ดีขึ้น ดิฉันเดินเข้าไปจับมือน้าอ้อย  น้าอ้อยพยายามลืมตาและบีบมือฉันแน่น  ฉันรู้ว่าอาการแย่ลงและคงเสียชีวิตในไม่ช้า  ฉันเรียกน้าอ้อยหลายครั้ง  ลูบมือเบาๆ น้าอ้อยพยักหน้ารับรู้ 

.    ” น้าอ้อย  กำหนดลมหายใจเข้า- ออก พุทธโท ภาวนาไปเรื่อยๆ ระลึกสิ่งที่ดีงาม  ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล ผ่อนคลายน้าอ้อยทำบุญมามาก  ทำบุญกฐิน สร้างพระที่วัด น้าอ้อยจำได้ไหมน้าอ้อยพยักหน้าช้า. ผลบุญที่น้าอ้อยทำในภพชาตินี้จะส่งผลบุญและนำทางให้น้าอ้อยไปภพชาติหน้าที่ดี  น้าอ้อยนึกถึงองค์พระที่น้าอ้อยสร้างไว้นะ เป็นช่วงที่ลูกสาวน้าอ้อยเดินเข้ามาเยี่ยม ฉันแจ้งอาการให้ทราบ ลูกสาวยืนนิ่ง ไม่พูด น้ำตาเริ่มคลอเบ้า ใช้มือปาดน้ำตาที่ไหลออกมา และพูดเสียงสั่นเครือ ” เวลาเหลือน้อยแล้วใช่ไหม แม่จะไม่อยู่กับแล้วเหรอ ฉันจึงพูดว่า ”เข้มแข็งนะ เราได้ทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มที่มันจะน้อยหรือมาก ไม่สำคัญ ขึ้นอยู่กับเราได้ตั้งใจทำ บุญกุศลแม่ได้รับหมด  ให้บุญนำทางแม่ไป จำวันที่เราคุยกันครั้งแรกได้ไหม เราหนีธรรมชาติของชีวิตไม่ได้  ชีวิตของคนเรามันสั้น  มาแล้วก็ไป ความพลัดพรากเป็นเรื่องธรรมดา  เวลา  ความมีสติ  ความเข้มแข็งทำให้เราผ่านพ้นเหตุการณ์นั้นไปได้  ที่ผ่านมาเราช่วยแม่ปลดห่วงไปได้หลายอย่าง  สิ่งที่แม่เป็นห่วงคลายลงไปมาก แล้วยังมีสิ่งไหนที่เราอยากจะทำ หรือแม่ยังไม่ได้ทำ  ตอนนี้แม่ยังรับรู้  เรายังมีโอกาสเช่นแสดงความรัก  กอด บอกรักแม่ ขอบคุณ ขอโทษ หรือให้แม่อโหสิกรรมสิ่งที่ผ่านมา  ลูกสาวของน้าอ้อยดูเข้มแข็งขึ้น  เดินเข้าไปหาแม่ ก้มลงกอดแม่  กระซิบข้างหูเบาๆ น้าอ้อยพยายามจะลืมตามองลูกสาว  ฉันจึงเปิดโอกาสให้อยู่ตามลำพัง  ลูกสาวน้าอ้อยเดินออกมาเช็ดคราบน้ำตา  แล้วสูดลมหายใจอย่างช้าๆ และพูดกับฉันว่า” แม่เคยบอกไว้  ถ้าแม่หายดีแล้ว  แม่อยากจะไปไหว้พระที่วัดปากช่อง เสียงขาดหายไป  น้ำตาเริ่มคลอเบ้า พูดไม่ออก และหันหลังไปมองแม่ที่เตียง แม่คงไม่ได้ไปอีกแล้ว   ฉันจึงยิ้มและบอกว่า” ไปได้ซิ  เราจะแม่ไปไหว้พระกันลูกสาวน้าอ้อยทำหน้างง “ เราพาแม่ไหว้พระโดยการทำจินตนาการ ฉันจึงเชิญเพื่อนสนิทของน้าอ้อยที่ชอบทำบุญด้วยกันประจำ  แนะนำวิธีการทำ เพื่อพาน้าอ้อยไปไหว้พระตามที่ได้ตั้งใจไว้   แต่การเดินทางไปไหว้พระครั้งนี้อาจไม่เหมือนทุกครั้ง   ไม่มีเสียงหัวเราะ มีแต่เสียงร้องให้..ตลอดกาลเดินทาง

      ผ่านมาอีก2วัน  ฉันขึ้นเวรบ่าย หลังจากส่งเวรเสร็จ  น้าอ้อยไม่รู้สึกตัว หายใจ Air Hunger  สัญญาณชีพบอกถึงอวัยวะต่างๆของร่างกาย ล้าลง จนไม่สามารถจะทำหน้าที่ต่อไปได้อีก  ข้างเตียงมีครอบครัวของน้าอ้อยยืนรอบเตียง  เห็นหลานลูกสาวกำลังอ่านบทสวดมนต์  ฉันจับมือน้าอ้อย “ นึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์  องค์พระที่น้าอ้อยสร้าง ท่านจะนำทางน้าอ้อยไป ขอให้ความเจ็บปวดที่น้าอ้อยมี หายไป  ฉันจึงนำดอกไม้ให้น้าอ้อย “ เอาไปไหว้พระบนสวรรค์นะ  นำเงินใส่มือเพื่อชำระหนี้สงฆ์  เสียง EKG  Monitor  alarm  เป็นช่วงๆ หัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ  ญาติค่อยๆทยอยเดินเข้ามา สีหน้าทุกคนนิ่ง  สามีของน้าอ้อยเดินเข้าไปลูบหัวเบาๆ ”  อ้อย ไม่ต้องห่วงแม่  น้องและลูกๆนะ พี่จะดูแลแทนเอง  หลับให้สบาย พอสามีของน้าอ้อยพูดจบ EKG  Systole ลากเป็นWave ยาว  ฉันแจ้งเวลาเสียชีวิต ทุกคนยินดีที่จะให้น้าอ้อยจากไป..ด้วยความสงบ ไม่ทุกข์ทรมาน   ทุกคนร่ำลาน้าอ้อยเป็นครั้งสุดท้าย  สามีน้าอ้อยกอดลูกสาวไว้แน่น  “ แม่ไปสบายแล้วลูก ไม่เจ็บ ไม่ปวด อีกแล้ว ลูกสาวน้าอ้อยไม่ร้องให้ฟูมฟาย มีเพียงน้ำตาค่อยๆไหล  สามีน้าอ้อยเดินเข้ามา ยกมือไหว้ และขอบคุณที่ได้ช่วยดูแลอย่างเต็มที่ ไม่คิดว่าจะมีการดูแลแบบนี้ .. ฉันแสดงความเสียใจกับครอบครัวและยินดีที่ได้ร่วมกันดูแลน้าอ้อย และให้ญาติได้อยู่กับน้าอ้อยเป็นครั้งสุดท้าย  

       ภาพเหตุการณ์ที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้รู้สึกลืมไปจากความทรงจำ  เมื่อนึกถึงฉันกลับรู้สึกอิ่มใจ  ที่ได้มีโอกาสได้ดูแลผู้ป่วยและครอบครัว   ไม่ได้รู้สึกเหนื่อย หรือท้อแท้  หดหู่กับการดูแลผู้ป่วยวาระสุดท้าย  แต่กลับมีกำลังใจที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ การเรียนรู้  และได้สะสมบุญ  ให้กับตัวเรา  ไม่ได้มีอะไรมาวัดความสำเร็จของฉัน  แต่ความอิ่มอกอิ่มใจ  มันยังคงอยู่ในใจเสมอมา ฉันขอขอบคุณน้าอ้อยและ ผู้ป่วยในหน่วยงานทุกคน ที่เป็นครู  ให้ได้สั่งสมความรู้  ความดี ให้ฉันได้ไปใช้ในภพหน้า   ขอบคุณหนังเรื่องทองเนื้อเก้า  ที่ไม่ได้ทำให้เรา สงสารแต่วันเฉลิม(ตอนเด็กเท่านั้น   แต่มีแง่คิด  การเข้าใจธรรมชาติของชีวิต  และยอมรับความเป็นจริง   จุดสุดท้ายของชีวิตก็คือความตาย  จะยากดีมีจนอย่างไร ไม่มีใครหนีพ้น  ……..    

 -----

นางพัชรีรัตน์   เปลี่ยมสะอาด
พยาบาลวิชาชีพชำนาญการ
โรงพยาบาลพระพุทธบาท