วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ขอบคุณจากใจ


ผมเป็นลูกจ้างประจำ  ตำแหน่งผู้ช่วยเหลือคนไข้  ประจำอยู่แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน  โรงพยาบาลพระพุทธบาท หน้าที่หลักของผม คือ ขับรถ EMS ไปรับผู้ป่วยที่บ้านและตามท้องถนนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ  บันทึกข้อมูลใน Computer  และทำงานตามที่หัวหน้าและพยาบาลมอบหมาย  ทำงานเป็นพลัดเช้า,บ่าย,ดึก,มีอาชีพเสริม  คือ  ขายรถยนต์มือสอง

วันหนึ่งหลายปีมาแล้วตอนนั้นผมทำงานเป็นคนงานอยู่แผนกอายุรกรรมชาย  วันนั้นจำได้ว่า เวลาประมาณ 9 โมงเช้า ผมกำลังเช็ดหน้าต่างอยู่ผมได้ยินเสียงผู้หญิง อายุประมาณ 60 ปี  นั่งคุยอยู่กับลูกชายอายุประมาณ 30 ปี
ผู้เป็นแม่พูดว่าลูกไปยืมเงินเถ้าแก่ เขาให้มาเท่าไร 
ลูกชายตอบว่า เถ้าแก่ให้มา  8,000  บาท  เขาบอกว่า เราเอาของเขามามากแล้ว
ผู้เป็นแม่พูดเสียงเครือปนสะอื้นว่า ถ้าหมดเงินก้อนนี้พ่อเอ็งยังไม่ฟื้นหรือดีขึ้นเราจะไปหาเงินที่ไหนอีก  เราคงต้องเอาพ่อกลับไปตายบ้าน    ทั้งสองคนเงียบไปคู่หนึ่ง 
แม่ก็...เถ้าแก่เขาให้มาแค่นี้  ลูกชายพูดเสียงเครือ 
ผมทำงานอื่นต่อไปจนเสร็จไม่รู้ว่าสองแม่ลูกคุยอะไรกันต่อ  เกือบ 5 โมงเช้าผมทำงานเสร็จยังไม่ถึงเวลาเยี่ยมไข้  ผมเห็นผู้เป็นแม่นั่งอยู่คนเดียว  ผมก็เข้าไปหาแล้วพูดกับผู้เป็นแม่ว่า
ยายบ้านอยู่ที่ไหนครับ 
บ้านยายอยู่บ้านดีลังยายแกตอบ 
แล้วลูกชายยายไปไหนแล้วล่ะ
กลับบ้านไปแล้วอาศัยรถเขามา เจ้าของรถเขากลับเลยต้องกลับ ยังไม่ได้เข้าไปดูพ่อเลยผมพูดกับยายว่ายายผมขอโทษนะ เมื่อสักครู่นี้ ผมได้ยินยายคุยกับลูกชายว่าไปกู้เงินเขามารักษาตาหรือ 
ยายแกตอบ จ๊ะ ได้มาแค่ 8,000 บาท

ผมนึกในใจ สมัยนั้นเงิน 8,000 บาทก็มากพอสมควร ถ้ายายนำเงินมารักษาตาจนหมด จะเอาเงินที่ไหนไว้ซื้ออาหาร  ผมจึงพูดกับยายว่า ยายเงินที่ไปกู้เขามา  ไม่ต้องจ่ายหมอเขาหมดหรอก จ่ายสักสองสามพันบาทก็พอ เพราะยายจ่ายเงินสดไปบ้างแล้ว 
ยายแกมองหน้าผมแล้วพูดว่า  แล้วหมอเขาจะรักษาตาให้หายหรือ
ผมก็บอกยายไปว่า รักษาซิยาย ถ้าคนไข้ไม่มีเงินทางโรงพยาบาลมีสังคมสงเคราะห์ช่วยเหลือ เดี๋ยวผมจะช่วยพูดกับหัวหน้าผม ให้ช่วยส่งไปหานักสังคมสงเคราะห์  ผมนั่งคุยกับยายอยู่ครู่หนึ่งก็ขอตัวไปทำงาน  
 พอมีโอกาสผมก็เข้าไปหาหัวหน้าเล่าให้หัวหน้าฟังแล้วหัวหน้าก็เรียกยายเขาไปคุย  แล้วให้ผมพายายไปที่แผนกสังคมสงเคราะห์  ผมก็แนะนำให้ยายพูดไปบ้าง  พอถึงแผนกสังคมสงเคราะห์  แกก็พูดแบบที่ผมแนะนำไปจนหมด  พอนักสังคมสงเคราะห์ถามแกมาก ๆ ยายแกไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร  แกก็ตอบกับนักสังคมสงเคราะห์ว่า  ก็คนหนุ่ม ๆ ที่พายายมาเขาบอกให้ยายพูดแค่นี้  ผมถูกนักสังคมสงเคราะห์เรียกไปตำหนิว่า  เราเป็นเจ้าหน้าที่อย่าแนะนำผู้ป่วยและญาติแบบนี้อีก  ผมบอกกับ นักสังคมสงเคราะห์ว่า พี่ครับ ยายแกไม่มีจริง ๆ ครับ เงินที่จ่ายไป แกก็กู้มา   ผมได้ยินยายแกพูดว่าถ้าหมดเงินก้อนนี้แล้วจะเอาตาไปตายที่บ้าน  ผมสงสารแกครับ  นักสังคมสงเคราะห์พูดว่า เข้าใจล่ะ       ต่อมาตาแกก็ได้รักษาฟรีนอนรักษาตัวอยู่เกือบเดือนก็หายและได้กลับบ้าน 

        วันที่แกกลับบ้าน  ผมหยุด  ตอนนั้นผมพักอยู่กับพี่สาวหลังโรงพยาบาล  ยายพาตานั่งรถสามล้อ  ไปหาผมที่บ้านพี่สาว  ยายบอกกับตาว่า  ถ้าไม่ได้ผมแนะนำตาคงตายไปแล้ว  ทั้งตาและยายยกมือไหว้ผมให้พรยกใหญ่  ที่จริงแล้วผมไม่ได้ช่วยอะไรเขามากมายเลย  จริง ๆแล้วตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไรเลยและก็ลืมไปแล้วด้วย  

        จนมาถึงเดือนมีนาคม  2553  ผมถึงได้รู้ว่ายายกับตาตอนนั้น  เขาคงมีความรู้สึกเหมือนผมตอนนี้  คือ  ตอนที่ลูกชายผมป่วยหนักมาก  ทั้งคุณหมอ  พยาบาลและเจ้าหน้าที่ทุกคน  ช่วยกันดูแลลูกผมเต็มที่ โดยเฉพาะหัวหน้า ER พี่ ๆเพื่อน ๆและน้อง ๆทุกคนใน ER หลาย ๆคนต่างช่วยติดต่อโรงพยาบาลในกรุงเทพให้ จนได้ไปรักษาต่อที่โรงพยาบาลราชวิถี  และพอจะกลับมารักษาต่อที่โรงพยาบาลพระพุทธบาท  พี่ ๆ และทุกคนใน ER ก็ช่วยกันติดต่อคุณหมอ  หาเตียง ICU และรถพยาบาลให้ไปรับกลับโดยเร็วถึงได้กลับมารักษาต่อที่โรงพยาบาลพระพุทธบาท  จนหายและกลับบ้านได้
ผมและครอบครัวของผม  ขอขอบคุณโรงพยาบาลพระพุทธบาท  คุณหมอ พี่ ๆ เพื่อน ๆ และน้อง ๆ ชาว ER ทุกคนครับ

บันทึกเรื่องราวและประสบการณ์โดย 
                                            สมาน  รอดละม้าย
                ผู้ช่วยเหลือคนไข้  แผนกอุบัติเหตุและฉุกเฉิน 
โรงพยาบาลพระพุทธบาท

ทำด้วยใจ หายเหนื่อย ...


ขึ้นเวรดึกวันนี้ รู้สึกเหนื่อยล้า ตั้งแต่ยังไม่ได้ทำงาน  บอกกับตัวเองทุกวัน สิ่งที่ทำคือ หน้าที่  หน้าที่ และหน้าที่ แต่ก็ยังไม่เห็นหายเหนื่อยรับเวรเสร็จ เดินดูคนไข้  ตั้งแต่เตียง 1 จนมาถึงห้องแยก 1 เป็น Case คนไข้ผู้ชายสูงอายุวาระสุดท้ายซึ่งป่วยเป็นโรคหัวใจและอัมพาต ไม่รู้สึกตัวนอนอยู่บนเตียงที่มีเครื่องพันธนาการยื้อและยืดชีวิตมากมาย  มียาเพิ่มความดันโลหิตให้ไว้ปริมาณขนาดสูงสุด มาถูกทางแล้ว เป็นคำพูดของคุณหมอที่เราคุ้นหู    เงยหน้ามองไปที่ Monitor EKG  หัวใจของคนไข้คงล้าเต็มที แม้จะมียาขนานเอกพอที่จะยืดเวลาออกไปได้อีก  ความทรงจำเก่า ๆ ผุดขึ้นมา  ภาพที่พ่อเคยนอนอยู่บนเตียง ไม่แตกต่างจากคนไข้รายนี้    สุดท้ายคนเราทุกคนก็ย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ  ไม่สามารถที่จะฝืนธรรมชาติ   เข้ามาในห้องนี้ทีไร แล้วต้องเจอคนไข้วาระสุดท้าย รู้สึกหดหู่ชอบกล  ยิ่งตอนญาติร้องไห้ ใจคอไม่ดี  พาลจะร้องไห้ตามญาติไปอีกคน     คิดในใจ ตาคงไม่เสียวันนี้หรอกมั้ง

ฉันถอนหายใจแล้วพยายามสลัดความคิดเก่าๆ ออกไป เดินเข้าไปยืนข้างเตียงจับมือคนไข้ เรียก ตา เป็นอย่างไรบ้าง...เหนื่อยไหม อดทนหน่อยนะ กำหนดลมหายใจเข้าออก พระอยู่ในใจนะตา นึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  คุณงามความดี ที่เคยได้ทำ จะได้เป็นแสงสว่างนำทางไปในภพชาติที่ดี  

       เวลาผ่านไปอีกหลายชั่วโมง มองดูนาฬิกา 04.40 น.  หลังทำกิจกรรมอื่นๆเสร็จ ลุกไปดูคนไข้อีกรอบ  ประเมินสัญญาณชีพ หัวใจเต้นช้าลงกว่าเดิม ความดันโลหิตวัดไม่ได้ ติดต่อประชาสัมพันธ์ให้ติดต่อญาติทางโทรศัพท์ ไม่นานเสียงโทรศัพท์สายนอกดังขึ้น

ฉันรีบรับโทรศัพท์ สวัสดีค่ะICU 1 ค่ะ
เสียงประชาสัมพันธ์งัวเงียเล็กน้อย ติดต่อญาติได้แล้วค่ะ 
หลังจากประชาสัมพันธ์วางสายลง ได้ยินเสียงจากปลายสาย พูดเสียงเครือว่าคุณพ่อเสียชีวิตแล้วเหรอคะ
ฉันจึงตอบว่า ยังค่ะ โทรแจ้งญาติว่าตอนนี้ตาหัวใจเต้นช้าลง  ความดันโลหิตวัดไม่ได้  มีโอกาสเสียชีวิต  ญาติต้องการมาเยี่ยมตาหรือเปล่าค่ะ
เสียงญาติรีบตอบกลับมา พยาบาลให้เข้าเยี่ยมได้จริงเหรอคะ
ฉันตอบกลับไปว่า ได้ค่ะ
จากน้ำเสียงของญาติแสดงออกถึงความรู้สึกดีใจ ค่ะๆ แล้วจะรีบมา

เพียงไม่ถึง 20 นาที เสียงกดกริ่งหน้าตึกก็ดังขึ้น ฉันเดินไปเปิดกระจกพบญาติประมาณ 3 คน  สิ่งที่สังเกตเห็น คือผู้หญิงวัยสูงอายุกับผู้หญิงวัยกลางคน  2 คนยืนประคองกันอยู่  ผู้หญิงสูงอายุท่าทางไม่ค่อยแข็งแรง  ตา 2 ข้าง ดูแดงช้ำ เหมือนพึ่งผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก    
เมื่อญาติถึงเตียงคนไข้  ญาติถึงกลับปล่อยโฮ กอดคนไข้แน่นและพูดว่า   คิดว่าจะไม่มีโอกาสได้ดูใจคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้ายแล้วและร้องไห้กันเสียงระงมทั่วห้อง   ฉันเปิดโอกาสให้ญาติและคนไข้ได้อยู่กันตามลำพัง ปิดม่านให้ เสียง Monitor EKG alarm  เป็นช่วงๆ ดู wave  ห่างขึ้นเรื่อย คิดในใจตาคงจะรอญาติ
สักครู่ใหญ่ฉันเดินกลับเข้าไปในห้องคนไข้ แจ้งอาการกับญาติ ตอนนี้หัวใจเต้นช้าลงเรื่อยๆ  ความดันโลหิตวัดไม่ได้
ญาติพยักหน้ารับทราบ คราวนี้สีหน้าดู สดชื่นขึ้น แม้ยังมีคราบน้ำตาทั่วใบหน้า  ลูกสาวของตาเดินมาหาและจับมือเราแน่น ขอบคุณพยาบาลมากนะคะ พี่คิดว่าพี่คงไม่มีโอกาสได้กอดคุณพ่อเป็นครั้งสุดท้าย
พูดยังไม่ทันจบ น้ำตาก็ไหลอาบแก้ม  2 ข้าง กอดเราแน่น และพูดซ้ำ  ๆ ขอบคุณจริง ๆ เราเข้าใจว่าญาติจะไม่มีโอกาสได้เข้ามาดูใจในวาระสุดท้าย   คงจะได้รับโทรศัพท์แจ้งตอนเสียชีวิตครั้งเดียว  ตายตอนไหนก็ไม่รู้ กลับถึงบ้านร้องไห้ทุกวัน พี่ทำใจไม่ได้สงสารคุณพ่อ

        ฉันจึงชี้แจงว่าปกติ ถ้าคนไข้อาการไม่ดี  เราจะให้ญาติเข้ามาเยี่ยมได้  หรือแนะนำให้โทรศัพท์ถามอาการ   ถ้าคนไข้มีอาการเปลี่ยนแปลงพยาบาลจะโทรศัพท์แจ้งเป็นระยะๆ
         ลูกสาวคนไข้ค่อย ๆผละออกจากฉันพยักหน้ารับและพูดว่า แต่...ตอนนี้ไม่ใช่อย่างที่คิดไว้เลย  พี่ไม่รู้จะพูดคำว่าอะไร...
          ญาติเดินกลับมาเตียงคนไข้  กระซิบข้างหูเบาๆและบอกว่า  ไม่ต้องห่วงนะคุณพ่อ  ลูกจะดูแลคุณแม่ให้ดีที่สุด  คุณพ่อไปดีนะ  หลับให้สบาย  ไม่ต้องกังวล
ยังไม่ทันขาดคำ  คลื่นหัวใจก็ลากเป็น Wave ยาว ฉันบอกญาติว่า คนไข้เสียชีวิตแล้วนะคะ
ญาติพากันก้มกราบเท้าคนไข้  ได้ยินเสียงร้องไห้เบา ๆ  ฉันแสดงความเสียใจและนำญาติยืนไว้อาลัยประมาณ 1 นาที  
         ญาติยิ้มทั้งน้ำตา ไม่มีใครร้องให้ฟูมฟาย
ฉันเดินออกมาด้านนอกม่าน  มองดูนาฬิกาจะ 6 โมงเช้าแล้ว  ไม่น่าเชื่อว่า ความรู้สึกเหนื่อยล้าของฉันที่เกิดขึ้นก่อนขึ้นเวรดึก  มันหายไปไม่รู้ตัว กลับกลายเป็นความรู้สึกดี ๆ มีความสุข งานที่คิดว่าเป็นหน้าที่ แต่เมื่อมันอยู่ตรงหน้า ถ้าเราทำด้วยใจ ผลลัพธ์ที่ได้คือ ความอิ่มอกอิ่มใจ  หายเหนื่อย...

บันทึกเรื่องราวและประสบการณ์โดย 
 พัชรีรัตน์  เปลี่ยนสะอาด  หอผู้ป่วยหนัก
บรรณาธิการเรื่องเล่า โดย : กาญจนา สรรพคุณ

ความประทับใจจากการให้…

ความประทับใจจากการให้

    ก่อนขึ้นปฏิบัติงานทุกครั้ง  พวกเราชาว ER  จะเป็นเหมือนๆกันคือ ภาวนาว่าวันนี้ขออย่าให้ยุ่ง เช้านี้เป็นวันแรกของสัปดาห์ ฉันต้องรีบเดินทางไปทำงานโดยมีพ่อบ้านขับรถไปส่งถึงโรงพยาบาลประมาณ 7.30 น. เมื่อเปิดประตูห้องฉุกเฉินย่างก้าวเข้าไปสายตาก็กวาดไปทั่วห้อง  บรรยากาศของเวรดึกดูไม่ค่อยยุ่งสักเท่าไหร่  มีคนไข้รอตรวจ 2-3 ราย  ทักทายเวรดึกตามประสาพี่น้อง  เซ็นชื่อทำงาน ดูแลความเรียบร้อยห้อง Observe หลังจากนั้นก็รับเวร  ร่วม Conference  เสร็จสรรพก็ประมาณ  8 โมง 45 นาที 

  วันนี้ฉันทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลผู้ป่วยที่ต้องสังเกตอาการในห้อง observe และช่วยดูแลผู้ป่วยอุบัติเหตุและฉุกเฉินด้วย  บรรยากาศการทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น  คนไข้ทยอยมารับบริการตลอด
   เสียงพยาบาลรุ่นพี่ ตะโกนมา รินทร์ช่วยพ่นยาให้เด็ก 1 คน  ฉันรับบัตรมาดู order แพทย์  แล้วเตรียมยาสำหรับพ่นให้เด็ก  คนไข้เป็นเด็กผู้หญิงอายุ 6 เดือน ผิวขาว หน้าตาน่ารักมาก  ส่วนแม่เด็ก รูปร่างผอม ผิวคล้ำ ใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขณะพ่นยา  เด็กดิ้นและร้องไห้ตลอด ฉันจึงช่วยแม่จับเด็ก  ทำให้มีเวลาพูดคุยกับแม่เด็ก
  เด็กเป็นลูกคนที่เท่าไหร่จ๊ะ ฉันเริ่มชวนคุย
  ลูกคนแรกค่ะ แม่เด็กตอบ
  มีญาติมาด้วยหรือเปล่า  พ่อเด็กมาด้วยมั้ย ฉันถามต่อ
   แม่เด็กสีหน้าสลดลง ก้มหน้าอยู่ชั่วขณะ ฉันรู้สึกว่าเขาคงมีเรื่องไม่สบายใจ เมื่อแม่เด็กเงยหน้าขึ้น ฉันจึงสบตาและยิ้มให้ เพื่อสื่อสารว่า ฉันกำลังรอฟังเรื่องราวของเขาอยู่ด้วยความเต็มใจ
   สามีหนูเป็นคนมอญ  เราอาศัยอยู่ด้วยกันที่ห้องเช่าหลังโรงพยาบาลพระพุทธบาท  หนูดูแลแม่อายุ 60 ปี ที่ป่วยเป็นเบาหวาน  สามีและหนูมีอาชีพรับจ้างทั่วไป  หนูอยากมีลูกมาก  ส่วนสามีไม่อยากมีลูกเพราะกลัวไม่มีเงินเลี้ยง  ต่อมา  หนูตั้งท้องแต่ไม่กล้าบอกสามี  ในที่สุดเขาก็รู้และมีปากเสียงกัน หลังจากนั้นก็หนีจากไปโดยไม่ติดต่อมาเลย  หนูต้องอยู่อย่างยากลำบาก เลี้ยงลูกด้วยตัวเองและยังดูแลแม่ด้วย

   พอได้ฟังเรื่องราวของแม่เด็ก  ฉันมีความรู้สึกว่า สงสารทั้งแม่และเด็กที่ต้องอยู่โดยไม่มีพ่อคอยดูแล  และต้องทำงานคนเดียวเลี้ยงคนในครอบครัว  ก็เลยถามต่อว่า
   “เธอให้ลูกกินนมอะไร
   “ให้กินนมข้นหวาน ชงใส่ขวดให้ดูด เพราะหนูไม่มีน้ำนมและไม่มีเงินซื้อนมผง  แล้วลูกก็กินเก่งด้วย หนูเคยได้ยินว่านมข้นหวานมันไม่ดีต่อเด็ก พยาบาลเขาบอก แต่หนูไม่มีทางเลือก 
หัวใจของคนเป็นแม่ ความรู้สึกในตอนนั้นฉันสงสารเด็กมาก
ฉันจะมีวิธีช่วยเขาได้อย่างไร จริงซิลูกฉันที่อายุใกล้เคียงกับลูกเขา  แพ้โปรตีนนมวัว  ไม่สามารถที่จะกินนมที่มีส่วนผสมของนมวัวได้
และก่อนหน้าที่ลูกจะแพ้นมวัว ฉันได้ซื้อนมผงที่มีส่วนผสมนมวัวสำหรับเด็กเล็กมาไว้ 1 ลัง และญาติซื้อมาให้อีก 1 ลัง รวมทั้งหมด 2 ลัง และยังไม่ได้นำไปเปลี่ยนที่ร้านค้าที่ซื้อมา
พรุ่งนี้เธอมาหาพี่นะ พี่จะเอานมมาให้ 2 ลังฉันบอกแม่เด็ก
ขอบคุณมากค่ะ ขอบคุณจริงๆ หนูมีนมดีๆกินแล้วนะลูก  หนูต้องขอบคุณป้าด้วยนะลูก แม่เด็กกล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ดีใจ 

วันต่อมาฉันก็นำนมทั้ง 2 ลังที่เก็บไว้มาให้กับแม่เด็ก  เธอดีใจมาก  กล่าวขอบคุณตลอด  เห็นท่าทางของแม่เด็กที่แสดงความดีใจและเห็นหน้าตาที่น่ารักของเด็กแล้ว ฉันรู้สึกดีใจที่ตัวเองได้มีส่วนช่วยครอบครัวของเด็กคนนี้ได้พอควร  ถึงแม้นม 2 ลังอาจจะกินได้ประมาณ 2 3 เดือนก็หมด  แต่อย่างน้อยก็ลดค่าใช้จ่ายในครอบครัวเขาได้ และเป็นความปลื้มใจที่เราได้ช่วยเหลือคนที่ลำบากกว่าเรา

      ทุกวันนี้แม่เด็กยังรับจ้างกวาดใบไม้ในวัดพระพุทธบาท  และรับจ้างทั่วไป  ส่วนเด็กก็อายุเกือบ 2 ขวบแล้ว  หน้าตาน่าเอ็นดู  เวลาที่ฉันเข้าไปนมัสการรอยพระพุทธบาทแม่เด็กก็จะเข้ามายกมือไหว้ทักทายและขอบคุณเราทุกครั้งที่เจอ

บันทึกเรื่องราวและประสบการณ์โดย 

ไพรรินทร์  อินทรทรัพย์
ห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉิน
โรงพยาบาลพระพุทธบาท