1. ชื่อผลงาน : การพัฒนาระบบการดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะ Hyperbilirubinemia
2. คำสำคัญ : Hyperbilirubinemia
3. สรุปผลงานโดยย่อ : พัฒนาประสิทธิภาพในการคัดกรอง และประเมินผู้ป่วยเพื่อรักษาโดยการส่องไฟทำให้สามารถดูแลผู้ป่วยได้รวดเร็วขึ้น ลดวันนอนในการส่องไฟ และปลอดภัยจากภาวะแทรกซ้อน
4. ชื่อและที่อยู่องค์กร : PCT กุมารเวชกรรม โรงพยาบาลพระพุทธบาท จังหวัดสระบุรี
5. สมาชิกทีม : คณะทำงาน PCT กุมารเวชกรรม
6. เป้าหมาย : ลดระยะวันนอนขณะส่องไฟ ≤ 4 วัน
: ลด complication ขณะส่องไฟ
7. ปัญหาและสาเหตุโดยย่อ
จากการทบทวนของทารกแรกเกิดที่ภาวะตัวเหลืองที่เข้ารับการรักษาในหน่วยงานกุมารเวชกรรม 2 จำนวน 22 ราย พบว่ามีภาวะตัวเหลืองสูงสุดที่ค่า MB 20 mg % ซึ่งเสี่ยงต่อการเกิดภาวะ Kernieterus และยังพบว่าขณะรับการักษาโดยการส่องไฟมี Complication ได้แก่ มีไข้ ตัวเย็น จำนวน 4 ราย มีวันนอนขณะส่องไฟเฉลี่ย 3 –5 วัน นอกจากนี้ยังพบว่าการสั่งการรักษา และการหยุดการรักษาโดยการส่องไฟ มีความหลากหลายของผล Bilirubin ซึ่งจากการทบทวนพบว่า การขาดแนวทางการประเมินภาวะตัวเหลือง และแนวทางในการดูแลผู้ป่วยทำให้การดูแลผู้ป่วยตัวเหลืองในทารกแรกเกิดได้รับการรักษาล่าช้า และเกิดความเสี่ยงในการเกิดภาวะ Kernicterus การดูแลไม่เหมาะสมทำให้เกิด Complication ขณะรับการรักษาได้ ทางทีม PCT กุมารเวชกรรม จึงได้ดำเนินการพัฒนา แนวทางในการประเมินภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิด และแนวทางการดูแลผู้ป่วยขึ้น เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการดูแลผู้ป่วยทารกแรกเกิดที่มีภาวะ Hyperbilirubinemia
8. การเปลี่ยนแปลง
8.1 วิธีการศึกษา / พัฒนานวัตกรรม
8.1.1 ศึกษาและทบทวนข้อมูลการดูแลรักษาผู้ป่วยที่มีภาวะตัวเหลือง และเข้ารับการรักษาในหน่วยงานเด็ก 2 ที่รับการรักษาโดยการส่องไฟ ร่วมกับทีมสหสาขาวิชาชีพ ย้อนหลัง 4 เดือน
8.1.2 ทบทวนและปรับปรุงระเบียบปฏิบัติ (WI) เรื่องการดูแลตัวเหลืองที่ได้รับการรักษาโดยการส่องไฟ และนำเสนอเพื่อเผยแพร่ WI ไปสู่ผู้ปฏิบัติ จำนวน 3 ครั้งร่วมกับแพทย์ และพยาบาลทุกหน่วยงานในทีมสหสาขาวิชาชีพ
8.1.3 ปรับปรุงแนวทางการเขียนบันทึกทางการพยาบาล โดยการนำกระบวนการพยาบาลมาใช้ เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม ครบองค์รวมทั้งด้านร่างกาย จิตใจ เศรษฐกิจ และสังคม
8.1.4 จัดทำเอกสารแผ่นพับเรื่อง “ภาวะตัวเหลืองและการส่องไฟรักษา” สำหรับเป็นข้อมูลความรู้ที่จะให้แก่บิดามารดา และยังใช้เป็นแนวทางในการให้ข้อมูลเรื่องโรค / อาการ / การดูแลรักษาทำให้ผู้ป่วยได้รับข้อมูลที่ถูกต้องเป็นแนวทางเดียวกัน
8.1.5 จัดทำแบบบันทึกการดูแลผู้ป่วย Hyperbilirubinemia (Care map) ร่วมกับทีมสหาสาขาวิชาชีพ
8.1.6 ปรับปรุง บัตรประจำตัวผู้ป่วยที่มีภาวะพร่องเอนไซน์ G6PD ร่วมกับเภสัชกร และกุมารแพทย์
- ทำเอกสารแผ่นพับเรื่อง “ภาวะพร่องเอนไซม์ G6PD
- จัดให้มีระบบการลงบันทึกข้อมูลในคอมพิวเตอร์โดยเภสัชกร
8.1.7 ป้องกันมิให้ผู้ที่มีภาวะพร่องเอนไซม์G6PD ได้รับยาที่ทำให้มีการแตกของเม็ดเลือดแดงได้ง่าย
8.1.8 การนำกราฟแสดงระดับบิลิรูบินทารกแรกเกิดมาใช้ประเมินการรักษาโดยการส่องไฟ
8.1.9 กำหนดให้มีพยาบาลทำหน้าที่เป็น Nurse case management เพื่อติดตามดูแลทารกที่ได้รับการรักษาโดยการส่องไฟ ให้ได้รับการปฏิบัติการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม
8.1.10 จัดประชุมชี้แจง WI การใช้ Care map และให้ความรู้แก่เจ้าหน้าที่ในทีม PCT กุมารเวชกรรม เรื่อง “การดูแลทารกแรกเกิดที่มีปัญหา Hyperbilinemia ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550
- เริ่มนำ Care map มาเป็นแนวทางการดูแลผู้ป่วยวันที่ 1 มีนาคม 2550
8.1.11 นำข้อมูลมารวบรวม, วิเคราะห์ และทบทวนทุก 3 เดือน เพื่อติดตามเครื่องชี้วัดคุณภาพ และนำมาหาโอกาสพัฒนา เพื่อนำมาปรับปรุงการดูแลผู้ป่วย
9. การวัดผล และผลของการเปลี่ยนแปลง
ระยะเวลา วันที่ 1 มีนาคม 2550 - 30 สิงหาคม 2551
ในระยะเวลาที่ทำการศึกษา และพัฒนานวัตกรรม มีทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลืองและได้รับการดูแลตาม Care map จำนวน 244 ราย พบว่า ทารกอายุ 48 – 72 ชั่วโมง มีภาวะตัวเหลืองมากที่สุด จำนวน 115 ราย คิดเป็น 47.15 % และมีการติดตามผลตามตัวชี้วัดดังแสดงในกราฟดังต่อไปนี้
การเปลผล หลังมีการนำ Care map และ WI รวมถึงการพัฒนานวัตกรรมต่างๆ มาใช้พบว่ามีการลดระยะวันนอนขณะ On Photo ลง และเป็นไปตามเกณฑ์ตัวชี้วัดที่ตั้งไว้คือ น้อยกว่าหรือเท่ากับ 4 วัน
10. สรุปผล และการนำผลการศึกษา / พัฒนาไปใช้
จากผลการศึกษาพบว่าการนำ Care map และ WI การดูแลทารกแรกเกิดที่มีภาวะตัวเหลือง และนวัตกรรมต่างๆ มาใช้ทำให้มีการประเมินภาวะตัวเหลืองในทารกแรกเกิดได้เร็วขึ้น โดยการศึกษาในช่วงแรกพบว่ามีการประเมินอาการตัวเหลืองได้ในระดังบิลิรูบิน > 14 mg% - 16 mg% มากที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาในช่วงต่อๆ มาพบว่าสามารถประเมินอาการตัวเลืองในระดับบิลิรูบินที่ลดลงคือ 12 – 14 mg% ทำให้ทารกได้รับการส่องไฟรักษาได้เร็วขึ้น และจากการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่อง Phototherapy จากเดิมเป็นหลอดไฟฟลูออเรสเซนท์ และสีขาว เปลี่ยนเป็นหลอด Blue light ทำให้สามารถลดวันนอนในโรงพยาบาลขณะส่องไฟลงได้ ทำให้ทารกสามารถกลับบ้านได้เร็วขึ้น
11. บทเรียนที่ได้รับ
* การทบทวนการดูแลผู้ป่วยในกลุ่มเป้าหมายที่ High Volume High Risk เป็นกิจกรรมที่มีประโยชน์มากสำหรับการค้นหาโอกาสพัฒนาในการดูแลผู้ป่วย ลดความเสี่ยง และเพิ่ม Patient Safty
* การพัฒนาและปรับปรุงระบบการทำงานทำให้การดูแลผู้ป่วยมีประสิทธิภาพ เพิ่มศักยภาพของบุคลากร และบุคลากรมีความสุขในการทำงาน เพราะการพัฒนาทำให้ มีแนวทางในการดูแลผู้ป่วย การทำงานสะดวกขึ้น และมีการทำงานเป็นทีม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น